
"วันนี้ในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่บนฟ้าแล้ว พวกเราคิดถึง"
ชาวเขาที่มูลนิธิโครงการหลวงจาก 5 จังหวัดภาคเหนือ รวม 7 ชนเผ่า รวมทั้งสิ้น 1,741 คน เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ
สำหรับบรรยากาศการถวายสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเปิดประตูวิเศษไชยศรี เวลา 04.50 น.โดยประชาชนกลุ่มแรกเป็นชาวเขาที่มูลนิธิโครงการหลวงนำมาจาก 5 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, แม่ฮ่องสอน และพะเยา รวม 7 ชนเผ่า ได้แก่ ลาหู่ ปะหล่อง จีนยูนาน ปกาเกอะญอ ลีซอ อาข่า และม้ง พร้อมเจ้าหน้าที่โครงการหลวง รวมทั้งสิ้น 1,741 คน เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานโครงการหลวงจนทำให้มีอาชีพมั่นคง มีรายได้จากการปลูกพืชเขตหนาวทดแทนการปลูกฝิ่น ทั้งยังนำพืชผลจากแปลงของตนเองที่เป็นผลจากการส่งเสริมของโครงการหลวงมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เพื่อที่สำนักพระราชวังจะได้นำไปทำอาหารให้แก่ประชาชนที่มากราบสักการะพระบรมศพต่อไป
นางพรนันทน์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์และท่องเที่ยวมูลนิธิโครงการหลวง เปิดเผยว่า ชาวไทยภูเขาต่างรู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้มากราบสักการะในวันนี้ ก่อนที่จะเดินทางมาทุกคนได้เตรียมผลิตผลของตนเองที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพันธุ์พืชเขตเหนือ อาทิ ข้าวดอย ข้าวก่ำ ข้าวใหม่ สตรอว์เบอร์รี่ พันธุ์ 80 อะโวคาโด จากดอยอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มะเขือม่วง ดอกกุหลาบ จากศูนย์พัฒนาโครงหลวงทุ่งเรา อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ งานหัตถกรรม ทั้งผ้าพันคอ กางเกง เสื้อผ้า จากเผ่ามูเซอ ชุดปะหล่อง รวมถึงพืชผักอื่นๆ กะหล่ำปลีหัวใจ กระหล่ำปลีหวาน ผักกาดหอมห่อ ผักกาดขาวหยก โอ๊คลีฟเขียว โอ๊คลีฟแดง บัวหิมะ ฯลฯ จากพื้นที่ทางภาคเหนือทั้งหมด ซึ่งเป็นผลผลิตจากการส่งเสริมของโครงการหลวง เพื่อให้สํานักพระราชวังนําไปเป็นอาหารแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่มากราบสักการะต่อไป
“สมัยก่อน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฏรทางภาคเหนือทุกปี ชาวเขาก็จะได้รับพระราชทานพืชพันธุ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้เขามารายได้ สามารถเลี้ยงตนเองได้ แม้ระยะหลังในหลวง ร.9 ไม่ได้เสด็จเองก็จะมีผู้แทนพระองค์คอยติดตาม คอยสอบถามอยู่เสมอ ทุกบ้านของชาวเขามีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง ร.9 ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่ทรงพระราชทานโครงการหลวง จนทำให้พวกเขามาอาชีพมั่งคงมีรายได้ จากการปลูกพืชเขตหนาวทดแทนฝิ่น แม้บางคนไม่เคยรับเสด็จฯ แต่ก็รักในหลวงรัชกาล 9 เพราะพ่อแม่ ปูย่าตายาย ก็ต่างเล่าให้ฟังว่าทรงทำสิ่งใดบ้างให้กับพวกเขา ทำให้ในวันนี้มีชาวเขาที่พร้อมใจกันมาตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ” นางพรนันทน์ กล่าว
ทั้งนี้กลุ่มชาวเขาในชุดแต่งกายประจำเผ่าและเจ้าหน้าที่เดินทางมาถึงท้องสนามหลวง เวลา 00.30 น. ของวันที่ 14 ธ.ค. 2559 จากนั้นได้ทำความสะอาดร่างกาย ที่สวนสราญรมย์ ก่อนเดินมาต่อคิวเข้าแถวเป็นกลุ่มแรก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ชาวเขาส่วนใหญ่จะอดหลับอดนอน หลับไม่เต็มตื่น แต่ทุกคนก็มีสีหน้ายิ้มแย้มไม่แสดงอาการเหนื่อยให้เห็น เพราะมีความตั้งใจจะมาถวายสักการะพระบรมศพ “พ่อหลวง” ของพวกเขาอย่างใกล้ชิดสักครั้งหนึ่งในชีวิต
นาโม หมันเฮิง
นายนาโม หมันเฮิง พ่ออุ้ยเผ่าปาหล่องวัย 88 ปี จาก อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ อดีตเคยเดินรอนแรนด้วยสองเท้า จากเขตปกครองไทยใหญ่ ฝั่งประเทศเมียนมาร์ รวมระยะเวลา 18 วัน 18 คืน พร้อมกับเพื่อนบ้านอีก 8 ครอบครัวมาอยู่เมืองไทย ตอนแรกร่อนเร่ไม่มีหลักแหล่ง หากินโดยปลูกฝิ่นปลูกข้าวโพดเลี้ยงชีพ กระทั่งทราบข่าวว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 จะเสด็จฯ มาที่ดอยอ่างขาง จึงพากับไปเฝ้าฯ รอรับเสด็จ หวังพึ่งพระบารมีของอาศัยภายใต้พระบรมโพธิสมภาร กล่าวว่า ถ้าไม่มีพระองค์ผมคงไม่ได้เป็นคนไทย วันนั้นผมกราบแทบพระบาท ทูลขอมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย ขอเป็นลูกเป็นหลานของพระองค์
พ่ออุ้ยเล่าต่อว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 รับสั่งถามคณะมีใครมาบ้าง ก็ถวายรายงานว่ามีพระ ผู้สูงอายุ และเด็ก ด้วยพระเมตตาทรงรับพวกผมไว้โดยทรงมีพระบรมราชานุญาตให้อยู่ในพื้นที่ หมู่บ้านนอแล หมู่ที่ 14 ตำบลม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ พร้อมทั้งพระราชทานเงินจำนวน 5,000 บาท เพื่อสร้างศาลาวัดให้ประกอบศาสนกิจ ด้วยความตื่นเต้นและดีใจตนจึงทูลเกล้าฯ ถวายพระพุทธรูปซึ่งอุ้มติดตัวมาเพื่อตอบแทนพระเมตตา หลังจากนั้นประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ปลูกผักผลไม้, ดอกกุหลาบ และชา ส่งผลผลิตให้กับโครงการหลวง ซึ่งรายได้ไม่ใช่แค่ลืมตาอ้าปากได้ แต่ยังส่งเสียลูกหลานได้ร่ำเรียนมีการศึกษา เรียนจบปริญญาตรีหมดทุกคน
“ถ้าไม่มีในหลวงรัชกาลที่ 9 ผมคงไม่ได้เป็นคนไทย เมื่อรู้ว่าพระองค์สวรรคตก็ทุกข์ใจมาก กินข้าวปลาไม่ได้ 5-6 วัน ชีวิตผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ภูมิใจที่ได้เป็นคนในแผ่นดินของพระองค์” นายนาโม
จ๊ะ เลาจาง (คนกลาง) และลูกสาว สาวิตรี เลาจาง (คนขวา)
นางจ๊ะ เลาจาง อายุ 50 ปี เผยความรู้สึกเป็นภาษาของชนเผ่าม้ง โดยให้ลูกสาว น.ส.สาวิตรี เลาจาง อายุ 33 ปี ทำหน้าที่เป็นผู้แปลให้ว่า สมัยอยู่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ พวกตนเองไม่รู้จะทำอะไรจึงปลูกฝิ่นและทำไร่รับจ้างไปทั่วโดยไม่มีที่ดินทำกินของตัวเอง เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ มารับทราบปัญหา ทรงขอให้ทุกคนเลิกปลูกฝิ่น โดยพระราชทานที่ดินทำกินให้ครอบครัวละ 5 ไร่ ที่อำเภอเชียงดาว หลังจากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของพวกตนก็ดีขึ้น เพาะปลูกข้าวโพดหวาน ปลูกผัก แม้จะไม่ร่ำรวยแต่พออยู่พอกิน ลูกหลานมีที่ดินทำกิน
ทั้งนี้นางจ๊ะเล่าให้ฟังถึงรูปที่อุ้มไว้ในอ้อมกอดว่า "พ่อได้ผูกเชือกข้อพระกรพ่อหลวงกับแม่หลวง เมื่อปี 2520 ตามความเชื่อของชนเผ่าเราคือถวายพระพรทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญ ไม่ให้มีโรคภัยไข้เจ็บ ภาพนี้จึงเป็นสิ่งที่มีค่าของครอบครัวเรา วันนี้ในหลวงรัชกาลกาลที่ 9 อยู่บนฟ้าแล้ว พวกเราคิดถึงพระองค์มาก ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ พวกเราตั้งใจจะทำมาหากินด้วยความพอเพียงตามที่ท่านสั่งเสียไว้"