เยือนแดนศิวิไลซ์ สัมผัสทั้งศิลปะ สถาปัตยกรรม และการใช้ชีวิตแบบมีดีไซน์
วิถีชีวิตที่มีศิลปะเป็นส่วนผสมตั้งแต่อดีต - ปัจจุบัน ทำให้ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาแวะเวียนไปในดินแดนยุโรปในหลายๆ ประเทศ จะต้องสะดุดตากับความอาร์ต ทั้งศิลปะ สถาปัตยกรรม และการใช้ชีวิตปกติที่ยังมีกลิ่นอายของความศิวิไลซ์ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่ทั่วโลกต้องสยบให้กับดีไซน์และคุณภาพจากแบรนด์ไฮเอนด์จากประเทศแถบนี้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะใน ประเทศอิตาลี อันขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนของแฟชั่นโลก จึงเป็นจุดหมายหลักให้เหล่านักช็อปเดินทางมาไขว่คว้าของถูกใจและยังได้กำไรเป็นบรรยากาศสวยๆ พร้อมเสพสุขวัฒนธรรมการกินอยู่อีกรูปแบบหนึ่งที่สอดคล้องไปด้วยกันลงตัว โดยเสน่ห์ข้างต้นนี้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เหล่าผู้บริหาร และตัวแทนของศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และ สเปลล์ ต้องจัดทริปพิเศษเดินทางลงไปสัมผัสไลฟ์สไตล์ของคนเมืองแฟชั่นกันอย่างละเอียด พร้อมนำมาปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนไทยในการขยายอาณาจักรฟิวเจอร์ซิตี้ ในอนาคต
ชมเวนิสยามค่ำ
การเดินทางเริ่มจากเมืองเล็กๆ แต่มีครบทุกความต้องการของนักท่องเที่ยว ลำคลองลัดเลาะไปตามสถาปัตยกรรมบ้านแบบเรเนซองส์เป็นหัวใจหลักของ “เวนิส” ที่คนทั่วโลกอยากชื่นชม ไปพร้อมกับชายหนุ่มเวเนเซียเสียงเพราะ คอยแจวเรือกอนโดลาพาล่องไปรอบๆ เมือง ปัจจุบันหนุ่มเรือกอนโดล่าอาจร้องเพลงคลอไปตลอดเส้นทางไม่ได้ทุกคนอย่างสมัยก่อน แต่ก็พร้อมคุยแนะนำสถานที่ต่างๆ อย่างเป็นกันเองตามสไตล์คนเวนิส หรือจะใช้วิธีขึ้นเรือโดยสารประจำทางพาไปชมรอบๆ เมืองต้องมนต์แห่งนี้ได้ทั่วถึงทุกพื้นที่สำคัญเช่นกัน เมื่อขึ้นฝั่งอย่าลืมเปิดแผนที่เดินลัดเลาะซอกซอยไปเรื่อยๆ ในเมืองจะมีจตุรัสและโบสถ์เล็กๆ มากมายซ้อนอยู่ พร้อมร้านอาหารให้นั่งจิบไวน์ กาแฟดำ หรือทานอาหารมื้อย่อยๆ พร้อมชมศิลปะจากศิลปินดังที่ซ่อนตัวอยู่ตามโบสถ์ต่างๆ มีไม่น้อยไปกว่าร้านค้าแบรนด์เนมพร้อมส่วนลดพอให้ขาช็อปชื่นใจ ก็คงต้องเลือกกันหน่อยว่าจะช็อปหรือจะเดินชิลๆ เพราะได้ประสบการณ์คุ้มค่าพอกัน
มื้อค่ำกลางวิวเมืองเวนิส
กระซิบบอกเคล็ดลับการเที่ยวเวนิสสักหน่อยว่าอย่าเพิ่งรีบนอน รอฟ้ามืดแล้วออกมาเดินเล่นจะเห็นบรรยากาศเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เสน่ห์กลางคืนคือบรรยากาศสังสรรค์ที่ไม่วุ่นวาย ยิ่งในย่านที่ตั้ง โบสถ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco) . ปาลาซโซ ดูคาเล (Palazzo Ducale) วังของผู้ครองเมือง, หอระฆัง และ จัตุรัสซานมาร์โค (Piazza San marco) จะเด่นตระหง่านด้วยสถาปัตยกรรมโกธิคผสมไบแซนไทน์ ล้อแสงไฟสีส้มนวลเปล่งประกายเป็นแลนด์มาร์กที่ตอนกลางวันคึกคักด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่หากตอนกลางคืนพื้นที่นี้กลายเป็นไนท์สตรีทที่สวยงามที่สุด มีร้านอาหารรอบๆ จตุรัสให้นั่งพูดคุยชมบรรยากาศ ท่ามกลางเสียงบรรเลงเพลงคลาสสิกจากนักดนตรีมากฝีมือ บางวงก็เล่นเพลงสนุกสนานจนเกิดฟลอร์เต้นรำขนาดย่อม หนุ่มสาวเวเนเชียและนักท่องเที่ยวนานาชาติร่วมกันโชว์สเต็ปพลิ้วๆ ได้เต็มที่ ใกล้กันติดกับท่าเรือสามารถนั่งรับลมเย็นๆ เดินชม สะพานถอนหายใจ ที่เชื่อมระหว่างวังกับคุกของเวนิสในสมัยก่อน ตามตำนานเล่าว่าเมื่อเหล่านักโทษเดินผ่านสะพานแห่งนี้ ทุกคนจะะได้มองโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย และถอนหายใจก่อนเข้าเรือนจำไม่เห็นเดือนเห็นตะวันไปตลอดชีวิต ชาวเวนิสเชื่อว่าแม้แต่ จาโกโม จีโรลาโม กาซาโนวา หรือ คาสซาโนว่า นักรักในตำนานก็ยังเคยข้ามสะพานนี้ก่อนจะแหกคุกออกมา เลยมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมตามดูเส้นทางความเป็นคาสโนว่าตัวจริงตลอดทั้งวัน ระหว่างทางถ้าเห็นรูปปั้นผู้ชายกับจระเข้บ่อยๆ ไม่ต้องสงสงสัยเพราะเขาคือ St. Theodore ที่ในยุคก่อนชาวเวนิสยกให้เป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเมืองนั้นเอง บริเวณรอบๆ จตุรัสใหญ่นี้ยังสามารถเดินชมเมืองยามค่ำต่อไปได้อีกเรื่อยๆ เพราะชาวเวนิสเองก็ชอบมานั่งชื่นชมสังสรรค์ในบรรยากาศสงบตลอดทางเช่นกันไม่วังเวงอย่างที่คิด เจอบรรยากาศแบบนี้เข้าไปใครไม่หลงรักเวนิสถือว่าใจแข็งสุดๆ
เสียงดนตรีกล่อมขานลำนำให้ได้ยินเสมอ
ต่อด้วยเมืองสำคัญอย่าง “มิลาน” หรือ มิลาโน ซึ่งถ้าไม่มาก็คงไม่ได้สัมผัสถึงความเป็นแฟชั่นอิตาลี ที่นี่สาวๆ ต้องเดินอย่างใจแข็ง (มาก) เพราะในโดมศูนย์การค้า กัลเลเรีย วิตโตรีโอ เอมานูเอล และถนนโดยรอบมีสินค้าแฟชั่นใหม่ๆ มาอัพเดทให้น่าลงทุนแทบทุกร้าน ทั้งกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า เมกอัพ เทียบราคาแล้วต้องยิ้มมุมปากหยิบเข้าแคชเชียร์กันทุกรายไป ถึงบอกว่าพกเงินมาน้อยก็อดใจไม่ไหวไปหลายรายเพราะขึ้นชื่อว่าเมืองแฟชั่นมีเงินหลักร้อยก็ยังหาของเก๋ๆ ติดไม่ติดมือไปได้สบาย แต่ถ้าผ่านจุดช็อปอย่างดุเดือดมาแล้วขอให้ตั้งสตินำของขวัญของฝากไปเก็บให้เรียบร้อย แล้วออกมาต่อแถวเข้าชม ดูโอโม (Duomo) มหาวิหารประจำเมืองมิลาน ที่นี่สร้างเสร็จราว 400 กว่าปีก่อน มีขนาดใหญ่เป็นอับดับสองรองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงวาติกัน มองด้านหน้าจะเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของยอดแหลม 135 ยอด ยอดที่สูงสุดเป็นที่ตั้งของพระแม่มาเรียหุ้มองค์ด้วยทองอร่าม เมื่อมองตัววิหารใกล้ๆ จะต้องหลงมนต์สถาปัตยกรรมโกธิคดั่งเดิมที่ละเอียดลออ มีเรื่องราวไม่ซ้ำกันทุกมุมวิหาร ด้านในยังมีการประกอบพิธีทางศาสนาตามปกติ บรรยากาศความเก่าแก่โอ่โถงมีพลังของสถานที่อันเป็นศูนย์รวมจิตใจทำให้ต้องหยุดทุกอย่าง เพื่อมาฟังเสียงเพลงสวดภาวนา มองเรื่องราวที่วาดไว้ในกระจกสีโบราณตรงกำแพงวิหารไปเรื่อยๆ เมื่อเดินออกมาด้านนอกจะเห็นผู้คนมากมายอยู่บนลาน ปิอาซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza del Doumo) ตรงนี้มักมีการจัดกิจกรรมพิเศษ หรือการแสดงเล็กๆ จากศิลปินริมถนนมากฝีมือให้ได้ชมกัน หากถามคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในมิลานตรงนี้มักจะบอกว่าที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองเศรษฐกิจเสียมากกว่า สำหรับผู้มาเยือนหน้าใหม่กลับรู้สึกเป็นเมืองที่ใช้ชีวิตได้มี 2 ยุค ทั้งนำสมัยไปกับธุรกิจแฟชั่น แต่โดยรอบมีแหล่งศิลปะโบราณอีกหลายให้เที่ยวตามไปศึกษามากมาย ยังมีโรอุปรากรชื่อก้องโลก ลา สกาล่า (Teatro alla Scala), โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย (Santa Maria delle Grazie) ที่ตั้งของภาพวาดดังของลีโอนาร์โด ดาวินชี “The Last Supper” เปิดให้นักช็อปได้พักตาพักใจชมงานศิลป์สวยๆ อีก ลองแบ่งเวลาอีกสักหนึ่งวันเพื่อชมสถานที่ประวัติศาสตร์เหล่านี้ รับรองนอกจากช็อปปิ้งคุ้มเงินยังได้ความคุ้มค่าทางใจกลับมาจากมิลานแน่นอน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง