ซูเล่ พลาซ่า เปิดเวดดิ้งแพลนเนอร์ครบวงจร หวังจับลูกค้าระดับบน
เมื่อกล่าวถึงพิธี “แต่งงาน” อีเวนท์ที่คู่หนุ่มสาวต่างใฝ่ฝันไม่ว่าจะจัดแบบเล็กกะทัดรัดหรือยิ่งใหญ่อลังการ กว่าจะออกมาเป็นรูปแบบอันงดงามแสนหวานเป็นที่ประทับจิตประทับใจแขกเหรื่อล้วนต้องผ่านกระบวนการต่างๆ จิปาถะ ตั้งแต่ สถานที่ ดอกไม้ อาหาร ชุดบ่าว-สาว แต่งหน้า ช่างภาพ ฯลฯ จึงเป็นที่มาของธุรกิจ “เวดดิ้งแพลนเนอร์” เกิดขึ้นเพื่อเป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษาและบริการครบด้านอำนวยความสะดวกสบาย ขอเพียงแค่ลูกค้ามีเงินและรสนิยมชัดเจน..ในประเทศเพื่อนบ้าน “เมียนมาร์” นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เนมิน เมี้ยวเตง ผู้อำนวยการ ซูเล่ พลาซ่า ชิงรุกธุรกิจที่ปรึกษาจัดงานแต่งครบวงจรจับลูกค้าเงินหนารายแรกประเทศ ด้วยการดึงดีไซเนอร์แบรนด์ดังระดับโอกูตูว์ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ แบรนด์โมโกก ปาป้า ของนักออกแบบมือหนึ่งชาวเมียนมาร์, แบรนด์โมนาจ (Monage) ประเทศฝรั่งเศส, แบรนด์แอมเซเล่ (Amsale) ประเทศสหรัฐอเมริกา และล่าสุด แบรนด์ยูมิคัตซึระ ไบรเดิล เฮ้าส์ ประเทศญี่ปุ่น มาร่วมเป็นพันธมิตร พร้อมจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยไฮไลท์คือการจัดรันเวย์โชว์ชุดคู่บ่าวสาวนับร้อยคอลเลกชั่น ขึ้นที่โรงแรมซูเล แชงกริลา ย่างกุ้ง เมื่อวันก่อน
เนมิน เมี้ยวเตง ผู้อำนวยการ ซูเล่ พลาซ่า เล่าถึงแรงจูงใจที่ให้เขาตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจนี้ว่า การแต่งงานของคนเมียนมาร์มีความสวยงามมากไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า พิธีกรรม ด้วยความกลัวว่าประเพณีการแต่งงานแบบดั้งเดิมนี้จะหายไป จึงอยากจะรักษาความสวยงามเหล่านี้ไว้ ขณะเดียวกันก็อยากโปรโมทประเพณีการแต่งงานนี้ด้วยการมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าต่างๆ ขึ้น ประกอบกับในระยะ 10 ปีมานี้สังเกตว่าการจัดงานแต่งงานของคนฐานะดีค่อนข้างมีการใช้เงินสูงขึ้น เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างต้องพึ่งพาจากที่อื่นหมด เช่น บินไปซื้อชุดจากอิตาลี ใช้เมกอัพอาร์ติสต์จากฝรั่งเศส หรือแม้แต่สั่งซื้อดอกไม้จากเมืองไทย และแต่ละครั้งต้องบินไปบินมา เมื่อเห็นเช่นนี้จึงเกิดแนวคิดอยากทำให้ทุกอย่างเป็นศูนย์รวมอยู่ที่นี่จัดการให้หมดทุกสิ่งทุกอย่างจึงเริ่มต้นธุรกิจเวดดิ้งแพลนเนอร์ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับบน
“ภายใน ซูเล่ พลาซ่า ประกอบด้วยธุรกิจเกี่ยวกับการจัดงานแต่งงานครบวงจรที่สุดรายแรกในประเทศเมียนมาร์ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ชั้น ชั้นแรกเป็นเลาจน์คอยให้คำปรึกษาด้านข้อมูลต่างๆ ว่าลูกค้าชอบชุดแต่งงานสไตล์ไหน เมกอัพอย่างไร อาหารประเภทไหน ส่วนชั้นสองเป็นห้องเสื้อของแบรนด์ต่างๆ รวมถึงแบรนด์เครื่องประดับ และร้านจำหน่ายผ้าสำหรับตัดชุด หรือถ้ายังไม่พอใจบนชั้น 3 ก็จะมีเลานจ์ให้บริการอีกหนึ่งช่องทางสำหรับลูกค้าที่ต้องการเมดทูออร์เดอร์ แต่ตรงนี้จะต้องใช้เวลานานหน่อยหนึ่ง โดยราคาเริ่มต้นประมาณ 1.5 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก การันตีว่าลูกค้าต้องการสิ่งใดจัดหาให้ได้หมด เรียกว่าทุกอย่างอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้หมด” เนมิน เมี้ยวเตง กล่าว
ดีไซเนอร์ชื่อดังของเมียนมาร์ ปาป้า เจ้าของแบรนด์โมโกก ปาป้า เล่าถึงเทรนด์การแต่งกายของสาวเมียนมาร์ ว่าทุกวันนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก อองซาน ซูจี โดยเฉพาะจะนิยมใช้ผ้านุ่งลองจี นำมามิกซ์แอนด์แมทช์กับเสื้อแฟชั่นยุโรป หรืออาจจะมีผ้าคลุมไหล่ที่เป็นแฟชั่น ประกอบกับอิทธิพลแฟชั่นจากต่างประเทศ หลังจากหนุ่มสาวเมียนมาร์มีโอกาสได้ไปศึกษาต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะที่ฝรั่งเศส ทำให้แจ๊คเก็ตหรือเสื้อคลุมเข้ามามีอิทธิพลและมาดัดแปลงเข้ากับผ้านุ่งลองจี ซึ่งจะว่าไปแล้วนั้นเทรนด์แฟชั่นโอต์ กูตูร์ ได้เข้ามาในประเทศเมียนมาร์ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 แต่เมื่อประเทศปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมจึงไม่มีใครกล้าแต่งโอร์ กูตูร์ กระทั่งเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้มีดีไซเนอร์ไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสจึงเริ่มเอากูตูร์เข้ามา ซึ่งส่วนตัวไปเรียนด้านแฟชั่นที่มิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อกลับมาจึงนำแฟชั่นเข้ามาด้วย โดยเริ่มผลิตเสื้อผ้าที่กลุ่มลูกค้าต้องการได้ ซึ่งได้แก่ วัยระหว่าง 18-35 ปี เริ่มแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าผลงานจากดีไซเนอร์ ทำให้พ่อแม่เริ่มตาม ฉะนั้นกลุ่มผู้นำแฟชั่นในพม่าตอนนี้จึงมีอยู่สองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก 18-35 ปี และ 50 ปีขึ้นไป โดยจุดเด่นของแบรนด์โมโกก ปาป้า คือ ต้องรู้ว่าจะดึงความเด่นอะไรออกมาเพื่อดีไซน์ ตอนนี้รู้แล้วว่าจะทำอะไรเพื่อให้ออกมาสวยงามและเด่นมาก โดยเฉพาะการออกแบบลวดลายผ้าให้มีความงามและแปลกใหม่ออกไป ซึ่งไม่เพียงจะเป็นการยกระดับแฟชั่นแล้ว ยังช่วยสร้างรายได้ให้กับคนทอผ้าอีกด้วย
ซูซาน เมี้ยวเตง ดูคอลเลกชั่นใหม่กับ ยูมิ คัตซึระ
ด้าน ยูมิ คัตซึระ เจ้าของแบรนด์ชื่อเดียวกันเล่าว่า ประเทศเมียนมาร์ยังเป็นประเทศที่เริ่มต้นและมีโอกาสในตลาดให้สามารถได้เติบโตไปได้โดยไม่มีการแข่งขันการสูงมาก ประกอบกับที่ผ่านมาเจ้าสาวที่นี่ใช้กันแต่ผ้านุ่งลองจี คิดว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่มาใช้ชุดแต่งงานแบบอินเตอร์เนชั่นแนลหรือเวสเทิร์นสไตล์มากขึ้น สำหรับคอลเลกชั่นที่นำมาในครั้งนี้แน่นอนว่ามีทั้งที่ออกแบบมาเพื่อสาวเมียนมาร์โดยเฉพาะและทั้งคอลเลกชั่นเดิมของยูมิคัตซึระ เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากดีไซเนอร์คนอื่น และทำเพื่อโชว์เพียงอย่างเดียว ภายใต้จุดยืนของแบรนด์คือเน้นความสวยงาม หรูหรา โรแมนติก มีความน่ารัก แต่ไม่เน้นเซ็กซี่ และแน่นอนวัตถุดิบต้องมาจากยุโรปเท่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง