Lifestyle

“ตามรอยเท้าพ่อ”ตอบโจทย์ภาคเกษตรทุกมิติ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“ตามรอยเท้าพ่อ”ตอบโจทย์ภาคเกษตรทุกมิติ

              ล่วงเข้าสู่รัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 พระองค์มีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะสืบสานแนวพระราชดำริโดยนำ “ศาสตร์พระราชา” มาปัดเป่าทุกข์บำรุงสุขให้แก่คนไทยทุกคน ทรงยึดแนวทางทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ภายใต้โครงการ "9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน" ในการช่วยเหลือราษฎรแก้ไขปัญหาดิน น้ำ และการเกษตรในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ รวมทั้งโครงการพัฒนาลุ่มน้ำและพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ที่ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ 
              เชิดชัย จิณะแสน ประธานคณะกรรมการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศพก.) ระดับประเทศ กล่าวในงานสัมมนา “สร้างเครือข่ายศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรข้าวสู่นวัตกรรมไทยแลนด์ 4.0” ที่กรมการข้าวจัดขึ้นวันก่อน โดยระบุว่า ขณะนี้หลายๆ นโยบายที่สำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตอบโจทย์ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรอย่างแท้จริง เกษตรกรทั่วประเทศขอส่งกำลังใจให้รัฐบาลและ รมว.เกษตรฯ โดยเฉพาะโครงการ 9101 ตามรอยพ่อที่รัฐบาลทุ่มเม็ดเงินลงมาเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้ออุปกรณ์ทางการเกษตรเพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
            “9101 เป็นโครงการที่สร้างรอยยิ้มให้เกษตรกรอย่างมาก เพราะเป็นการสร้างมิติใหม่ในการแก้ปัญหาของเกษตรกร ที่ให้อำนาจเกษตรกรเสนอโครงการของตัวเองตามโจทย์ปัญหาในชุมชน และงบประมาณโอนสู่เกษตรกรโดยตรง และบริหารจัดการกันเองโดยชุมชน”
           เขาระบุอีกว่า ปัจจุบันศพก.มี 882 ศูนย์ทั่วประเทศ มีศพก.ด้านข้าว 450 แห่ง ซึ่งข้าวถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่ต้องใช้นโยบายในการใช้นวัตกรรม การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การแปรรูปอย่างไรให้มีคุณภาพได้ราคาดี จากการร่วมมือกับศพก.ที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จอย่างมาก มีชุมชนเข้าร่วมจำนวน 882 แห่ง ได้นำเอานวัตกรรมไทยแลนด์ 4.0 ไปใช้เป็นหลักเผยแพร่ให้พี่น้องเกษตรกร  
             “ศพก.เปรียบได้กับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่สำคัญของกระทรวงเกษตรฯ ที่ช่วยสนับสนุนองค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต รัฐบาลให้ศพก.เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญที่สุด มีผู้ที่เข้าร่วมจำนวน 7.5 ล้านคน อย่างโครงการ 9101 ทำถวายในหลวง เงินลงสู่ชุมชนร้อยเปอร์เซ็นต์ นโยบายเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและมีผลดีต่อสุขภาพ ทำให้ความสมัครสมานสามัคคีเกิดขึ้นภายในชุมชน”
            ส่วน เพ็ญจิต แสงสว่าง เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์ จ.ชลบุรี กล่าวว่า อยากให้กำลังใจรัฐบาลที่ได้ทุ่มเทช่วยเหลือพวกตน ทำให้เกษตรกรมีความกินดีอยู่ดี ให้คนในชุมชนมาเห็นแบบอย่างเราพยายามปลอดหนี้ ผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ ลดต้นทุนการผลิต พอใจผลงานมากๆ จะเป็นกำลังใจให้รัฐบาลทุกๆ หน่วยงาน
           “อย่างวันนี้ได้เข้าร่วมอบรมโครงการสร้างเครือข่ายศพก. เพื่อเอาความรู้ไปสร้างประโยชน์ให้ชุมชนตัวเอง ที่ผ่านมา จ.ชลบุรี มีแรงงานมากกว่าคนเป็นเกษตรกร เพราะชลบุรีเน้นทำโรงงาน ทำให้พื้นที่ทางการเกษตรเหลือน้อยลง ได้มีโอกาสพลิกฟื้นแผ่นดินที่สร้างโรงงานมาเป็นงานเกษตร ดีใจที่ได้เดินตามรอยพ่อ เอาสิ่งดีไปเป็นตัวแบบพัฒนาให้ชุมชนตัวเอง เกษตรกรกำลังปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรทฤษฎีใหม่พยายามห่างไกลจากสารเคมี”
             เธอระบุอีกว่า หลังจากโครงการ 9101 ของรัฐบาลลงมาสู่ชุมชน ก็มีการกระจายเม็ดเงินลงไปตามกลุ่ม กลุ่มละ 2 แสนกว่าบาท ทำปุ๋ยอินทรีย์มาใช้ในแปลงเกษตร เงินกระจายถึงเกษตรกร ผู้ที่สนใจทำเกษตรอย่างแท้จริง ศพก.เชื่อมโยงให้ประโยชน์ต่อเกษตรกรทำให้เกษตรกรสนใจกระตือรือร้นทำต่อยอดผลิตภัณฑ์และช่วยเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเกษตรกรชาวบ้านบึงได้อย่างมาก
             “เดิมไม่ได้เป็นเกษตรกร แต่มีแรงบันดาลใจจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ท่านได้นำเกษตรทฤษฎีใหม่เข้ามา ไม่เคยทำนามาก่อน เราภูมิใจที่เดินตามรอยพระองค์ท่าน ทำเกษตรอินทรีย์เริ่ม 8 ครัวเรือน แต่มีพื้นที่ 121 ไร่ จะทำอินทรีย์ล้วน และชุมชนเราจะเดินหน้าสานต่อตามรอยพ่อ ถ่ายทอดความรู้สู่ลูกหลาน พยายามให้ลูกหลานเข้าถึง ทำตามโครงการของพระองค์ท่าน” เพ็ญจิต กล่าว
            ขณะที่ นิธิโรจน์ วันดี เกษตรกรผู้ปลูกข้าวจังหวัดเชียงใหม่​กล่าวถึงโครงการ 9101 เดินตามรอยเท้าพ่อเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรอย่างมาก หลายๆ กิจกรรมส่วนใหญ่จะเป็นปุ๋ยหมัก อันนี้จะเป็นวิถีที่จะเปลี่ยนชีวิตของเกษตรกรของประเทศในเรื่องลดการใช้สารเคมี และหันมาใส่ใจให้แก่การทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมี 
             “นายกฯ เป็นคนมีวิสัยทัศน์มาก เป็นบุคคลที่มองข้ามช็อตไปหลายๆ ช็อตในเรื่องของการพัฒนาประเทศ เพราะว่าถ้าไม่มีท่านกระโดดเข้ามามาปฏิบัติหน้าที่ วันนี้ไม่รู้ว่าประเทศเราจะเป็นอย่างไรในอนาคต”
           นิธิโรจน์ ย้ำว่า โดยเฉพาะกระดาษ A4 และเกษตรแปลงใหญ่ เป็นนโยบายโดดเด่นของรัฐบาล ที่จะผลักดันประเทศไทยเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 เป็นนโยบายที่ช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตขนานใหญ่ โดยรัฐบาลเข้ามาส่งเสริมในเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการผลิตใหม่ๆ ให้แก่เกษตรกร  
"โดยเฉพาะนโยบายยกกระดาษ A4 ผมชอบมาก ทำให้เกษตรกรมองเห็นภาพชัดขึ้น ถ้าหากมองภาพรวมโดยกว้างของประเทศไทยมันกว้างเกินไป แต่เมื่อกระทรวงเกษตรฯ ยกนโยบายที่มุมกว้างๆ มาอยู่ในกระดาษ A4 มันจะมองเห็นได้ชัด พอมองเห็นชัดมันจะได้โฟกัสในสิ่งที่เป็นความต้องการของเกษตรกร ปัญหาเกษตรกรที่เป็นอยู่ชัดเจน” นิธิโรจน์ย้ำทิ้งท้าย 
 โชว์มันหวานสายพันธุ์ฮาวาย“ชะลอความแก่”

             วิวัฒน์ ศรีกระสัง หนึ่งใน Young Smart หรือ “YSF” แห่ง อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา วิวัฒน์ถือเป็นเด็กหนุ่มไฟแรงที่ผันตัวเองจากอาชีพสื่อสารมวลชนมาเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง ด้วยการหันมาปลูก “มันหวานอินทรีย์” สายพันธุ์ต่างประเทศและสายพันธุ์ไทย ในพื้นที่ 50 ไร่ ภายใต้กระบวนการปลูกระบบอินทรีย์ 100% ความพิเศษของมันหวานวิวัฒน์ คือ เนื้อมันสีขาว ไม่เหมาะแก่การปลูกในช่วงฤดูฝน เพราะมีแป้งมาก รสชาติจะไม่หวาน เช่น พันธุ์ออเรนทอลไวน์ ซึ่งมันสายพันธุ์ดังกล่าวมีความพิเศษไม่เหมือนใคร คือ มีหัวสีขาว แต่เนื้อสีม่วง สีสันสวยงาม มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการอย่างมาก เนื้อในสีม่วง มีสารช่วยชะลอความแก่ โดยมันหวานพันธุ์ฮาวาย มีเกษตรกรปลูกในไทยน้อยมาก เพียง 10-15 รายเท่านั้น แต่ผลผลิตที่ได้เป็นที่พอใจ 1 ไร่ ได้ 3,000 กิโลกรัม และราคาดี 350 บาทต่อกก. หากนำเข้าจากต่างประเทศราคากิโลกรัมละประมาณ 2,000-3,000 บาท
 เปิดตัว“หม้อข้าวหม้อแกงลิง”ต้นละ3แสน
            อีกหนึ่งนวัตกรรมโดดเด่นที่อยากให้ไปสัมผัสในงานคือ “หม้อข้าวหม้อแกงลิง” ของ ประกิต โพธิ์ศรี เกษตรกรรุ่นใหม่จาก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ผู้ริเริ่มปรับปรุงสายพันธุ์หม้อข้าวหม้อแกงลิง โดยนำนวัตกรรมทางพันธุกรรมพืชของไทย ผสมร่วมกับพันธุ์ต่างประเทศ จนได้สายพันธุ์ใหม่ ได้แก่ สยามเรด นิลมังกร แบล็คไดมอนด์ เป็นต้น ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ หรือเป็นซิกเนเจอร์ของประเทศไทย 
             ปัจจุบันหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ได้พัฒนาสายพันธุ์ใหม่ โดยนำพันธุ์ไทยกับต่างประเทศมาผสม ทำให้เกิดใบด่างสวยงามกลายเป็นต้นไม้ที่มีมูลค่า โดยตลาดค้าส่งหม้อข้าวหม้อแกงลิง ได้แก่ ตลาดบางใหญ่ สวนจตุจักรและหน้าสวน ส่วนต่างชาติที่นิยมสะสมและนิยมเลี้ยงหม้อข้าวหม้อแกงลิงมากที่สุด ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน และอเมริกา ส่วนคนไทยจะนิยมเลี้ยงสายพันธุ์ต่างประเทศซึ่งมีลักษณะดอกทรงกระบอก ในขณะตลาดต่างประเทศจะนิยมสายพันธุ์ไทยซึ่งมีลักษณะดอกกลมๆ
             ประกิตบอกว่า หม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์ที่เป็นนวัตกรรมล่าสุด มีนักธุรกิจที่นิยมสะสมจากเวียดนามเสนอซื้อในราคา 3 แสนบาท เป็นสายพันธุ์ N.viking x rafflesiana โดยตนจะนำไปเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน “เกษตรไทยก้าวหน้า ภายใต้ร่มพระบารมี” เช่นกัน โดยหม้อข้าว หม้อแกงลิงสายพันธุ์นี้มีคุณลักษณะพิเศษคือต้นด่าง ใบลายเกิดจากยีนที่ผิดปกติทำให้เปลี่ยนสีใบ เป็นใบไม้ที่หายาก จะเรียกว่าเป็นต้นเดียวในโลกก็ว่าได้ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาสายพันธุ์  

              นอกจากนั้นก็เป็นสายพันธุ์ สยามเรด แบล็คไดมอนด์ นิลมังกร คู่ผสมสีดำ ต้นที่เป็นเกลียวซึ่งขณะนี้เตรียมจะขอชื่อพระราชทานอีกด้วย โดยสยามเรดปัจจุบันจำหน่ายอยู่ที่ต้นละ 250 บาท แบล็คไดมอนด์ 300 บาท ส่วนนิลมังกรจะอยู่ประมาณ 4,000-80,000 บาท ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกทั้งหมด 14 ไร่ นอกจากจำหน่ายพันธุ์แล้วยังเปิดให้เป็นศูนย์ท่องเที่ยวเชิงนิเวศอีกด้วย
              “การนำต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงสายพันธุ์ต่างๆ ไปโชว์ในครั้งนี้ เพื่อเผยแพร่ผลการพัฒนาพันธุ์พืชท้องถิ่น ซึ่งกำลังจะสูญพันธุ์ ให้ทั่วโลกได้เห็นคุณค่า และร่วมอนุรักษ์ พร้อมต่อยอดแนวคิดพัฒนาสู่การเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศ จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้สนใจเข้าร่วมงานจะได้เห็นพันธุ์พืชใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาสายพันธุ์ และยังช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงเกษตร” ประกิตกล่าวย้ำ 
  จัดใหญ่“เกษตรไทยก้าวหน้า ภายใต้ร่มพระบารมี”

          พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้ดำเนินโครงการ “เกษตรไทยก้าวหน้า ภายใต้ร่มพระบารมี” เพื่อเทิดพระเกียรติและแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในอันที่จะทำให้เกษตรกรอยู่ดีมีสุข โดยงานจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในระหว่างวันที่ 16-20 สิงหาคมนี้ ที่ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร
          ขณะที่ สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวถึงไฮไลท์สำคัญของการจัดงานครั้งนี้ว่าจะประกอบด้วย “นิทรรศการมีชีวิต” เสมือนจริง ซึ่งจะจัดแสดงเรื่องสำคัญ อาทิ นิทรรศการเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ทรงมีต่อการพัฒนาการเกษตร ตลอดจนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมทั้งยังได้จัดถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผลการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศพก.) ผลผลิตจากการส่งเสริมการเกษตรรูปแบบแปลงใหญ่ในตลอดช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา และผลงานของ Yong Smart Farmer หรือยุวเกษตรกรรุ่นใหม่ของไทย มีการจัดแสดงนวัตกรรมทางการเกษตร การนำนวัตกรรมและผลงานวิจัยต่างๆ ออกเผยแพร่ เช่น การพัฒนาพันธุ์ข้าวระดับพันธุวิศวกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ จุลินทรีย์ดิน รวมทั้งอบรมการเกษตรที่ทุกคนสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน แม้แต่คนในเมือง เช่น การปลูกผักแนวตั้ง การปลูกผักใช้พื้นที่น้อย และการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ รวมถึงการฝึกอบรมอาชีพที่หลากหลาย
                  การจัดแสดงและเปิดตลาดสินค้าการเกษตร โดยนำผลผลิตคุณภาพจากเกษตรกร อาทิ สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(GI) ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยม ผลิตภัณฑ์พืช สมุนไพร เกษตรอินทรีย์ และของดีทุกภูมิภาคต่างๆ เช่น กล้วยเล็บมือนางชุมพร สับปะรดท่าอุเทน ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง กล้วยหินบันนังสตา หอยนางรมสุราษฎร์ธานี เนื้อโคขุน ผลิตภัณฑ์จากอโวคาโด มาจัดแสดงและให้ประชาชนเลือกซื้ออย่างจุใจ
                 “การจัดงานครั้งนี้ ถือเป็นการรวมพลของเกษตรกรไทยจากทั่วประเทศที่จะเดินทางมาร่วมกันแสดงพลังเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากทุกคนต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานแนวพระราชดำริในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น ทำให้เกษตรกรมีความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตร จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงพลังแห่งความจงรักภักดีและเทิดพระเกียรติแก่ในหลวงของปวงชนชาวไทย เพื่อให้ทรงสถิตเป็นมิ่งขวัญแก่อาณาประชาราษฎรชาวไทยและเกษตรกรไทยให้เกิดความรุ่งเรืองตลอดไป” สมชาย กล่าว
                                           ............................................................


 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ