การสูญเสียบุคคลในครอบครัวนั้นว่าเจ็บปวดแสนสาหัสแล้ว แต่ยิ่งเป็นบุคคลที่รักยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ ยิ่งเจ็บปวดสาหัสกว่าหลายเท่า
*******************
ถึงทุกวันนี้ เมื่อคนไทยผ่านทางวัดกู้ จะต้องนึกถึงเหตุการณ์โศกสลดที่สร้างความโทมนัสแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เป็นอันมาก
เพราะวันนี้เมื่อ 139 ปีก่อน ตรงกับวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 พระองค์ต้องเผชิญกับความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่บุคคลอันเป็นที่รักดังแก้วตาดวงใจถึง 3 พระองค์ต้องมาสิ้นพระชนม์พร้อมกันในคราวเดียว
นั่นคือ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระอัครมเหสี, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ฯ พระราชธิดา และพระราชบุตรในพระครรภ์ ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดาอีกด้วย
ทั้งหมดต้องพบกับชะตากรรมที่ไม่มีใครคาดคิด จากอุบัติเหตุเรือพระที่นั่งล่มลงกลางแม่น้ำ บริเวณหน้าวัดกู้ ต.บางพูดอ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ขณะโดยเสด็จพระสวามี ประพาสพระราชวังบางปะอินพร้อมพระมเหสีทุกพระองค์ และข้าราชบริพาร
เหตุการณ์ในวันนั้น มีบันทึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เคลื่อนขบวนเรือต่างๆ ออกไปก่อนในเวลาประมาณ 2 โมงเช้า ด้วยติดพระราชกิจ และจึงทรงตามไปภายหลัง
โดยทางด้านของพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ ประทับบนเรือเก๋งกุดัน โดยมีเรือปานมารุตซึ่งเป็นเรือกลไฟจูงเรือพระประเทียบ
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสร็จพระราชกิจแล้ว จึงได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งโสภาณภควดีตามไป
แต่แล้ว...เมื่อขบวนเรือพระที่นั่งไปถึงบางตลาด จมื่นทิพเสนากับปลัดวังซ้ายลงมากราบทูลข่าวร้ายว่า
“เรือพระที่นั่งพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งเรือปานมารุตจูงไปนั้นล่มที่บางพูด องค์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพชรรัตน์ แลพระชนนีสิ้นพระชนม์”
เรื่องนี้ ยังความโทมนัสแก่พระองค์เป็นอันมากหาที่เปรียบมิได้ ถึงขนาดเล่ากันว่าพระองค์ทรงล้มทั้งยืน ทั้งนี้เพราะพระนางสิ้นพระชนม์พร้อมด้วยพระราชธิดา และพระราชบุตรในพระครรภ์ พระชนม์ 5 เดือนเต็ม
นอกจากนี้ ที่น่าโศกสลดคือ มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น แล้วได้มีการกู้พระศพขึ้งมา (จึงเป็นที่มาของชื่อวัดกู้ หรือวัดพระนางเรือล่มในกาลต่อมา) มีเรื่องบันทึกจากปากคำชาวบ้านในขณะที่งมพระศพขึ้นมาได้ว่า
“ลักษณะของพระศพนั้น สร้างความเศร้าสลดให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ฯ ได้โอบกอดพระธิดาไว้แนบอก ส่วนสถานที่ที่พบพระศพนั้นก็คือใต้ซากเรือพระประเทียบนั้นเอง”
หลังจากที่พระองค์ประสบอุบัติเหตุเรือพระประเทียบล่มจนสิ้นพระชนม์พร้อมพระเจ้าลูกเธอ ที่บางพูดแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชหัตถเลขาเล่าเหตุการณ์พระราชทานไปยังพระยาเทพประชุน ข้าหลวงเมืองเชียงใหม่ ตอนหนึ่งว่า
“หญิงใหญ่นั้นเป็นคนว่ายน้ำแข็ง แจวเรือพายเรือได้แข็ง ที่ตายครั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะห่วงลูก เพราะพี่เลี้ยงของลูกว่ายน้ำไม่เป็น”
หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าจึงได้ทรงไล่เลียงกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช พระยามหามนตรี และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยพระยามหามนตรีทูลว่า “เรือราชสีห์ซึ่งจูงเรือพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรีนั้นนำหน้าไปทางฝั่งตะวันออก โดยมีเรือโสรวารซึ่งพระยามหามนตรีไปจูงเรือพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรีตามไปเป็นที่สองในแนวเดียวกัน ส่วนเรือยอร์ชของกรมหลวงวรศักดาพิศาล ซึ่งจูงเรือกรมพระสุดารัตนราชประยูรไปทางฝั่งตะวันตกแล่นตรงกันกับเรือราชสีห์ หลังจากนั้น เรือปานมารุตแล่นสวนขึ้นมาช่องกลางห่างเรือโสรวารประมาณ 10 ศอก พอเรือปานมารุตแล่นขึ้นไปใกล้ เรือราชสีห์ก็เบนหัวออก เรือพระประเทียบเสียท้ายปัดไปทางตะวันออก ศีรษะเรือไปโดนข้างเรือโสรวารน้ำเป็นละลอกปะทะกัน กดศีรษะเรือพระประเทียบจมคว่ำลง”
อย่างไรก็ตาม กรมหมื่นอดิศรอุดมเดชกล่าวว่า “เป็นเพราะเรือโสรวารหนีตื้นออกมา จึงเป็นเหตุให้เรือปานมารุตแล่นห่างกว่า 10 ศอก”[4] ซึ่งกรมหมื่นอดิศรอุดมเดชและพระยามหามนตรีต่างซัดทอดกันไปมา โดยในขณะที่เรือล่มนั้น พระยามหามนตรีก็ได้ออกคำสั่งห้ามผู้ใดลงไปช่วยเหลือ ด้วยเป็นการขัดต่อกฎมณเฑียรบาลที่ห้ามให้ผู้ใดแตะต้องพระวรกายของพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งตระกูล
ในที่สุดหลังจากนั้น ได้มีการจัดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพทั้ง 2 พระองค์ขึ้น ณ กลางทุ่งพระเมรุ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2424 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระราชทานเพลิงพระศพ ในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2424
อนึ่ง การสูญเสียบุคคลในครอบครัวนั้นว่าเจ็บปวดแสนสาหัสแล้ว แต่ยิ่งเป็นบุคคลที่รักยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ ยิ่งเจ็บปวดสาหัสกว่าหลายเท่า
สำหรับ “สมเด็จพระนางเรือล่ม” หรือ พระนามเต็มนั้นว่า สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีทรงได้ชื่อว่าเป็น พระชายาที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของล้นเกล้า ร.5
เป็นที่รู้กันดีว่า พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์มีพระสิริโฉมงดงาม พระสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น “พระอัครมเหสี”
และยังทรงรับราชการรับใช้สนองพระเดชพระคุณชิดใกล้ และทรงเป็นที่นับถือในพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร
พระโกศพระศพ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และ พระศพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์
ทั้งนี้ ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 และ สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2403 เป็นพระเจ้าลูกเธอรุ่นเล็ก ลำดับที่ 50 ในจำนวนทั้งหมด 82 พระองค์
พระองค์ทรงเป็นพระภรรยาเจ้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระขนิษฐาร่วมพระโสทรทั้ง 2 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) และ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง)
โดยภายหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 8 ปี จึงเปลี่ยนพระฐานันดรศักดิ์จาก “พระเจ้าลูกเธอ” เป็น พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ และเมื่อพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ได้ถวายตัวรับราชการเป็นภรรยาเจ้าเมื่อพระชนมายุประมาณ 15–16 พรรษา จึงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระนางเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
ก่อนที่เรื่องราวจะลงท้ายที่บางพูด เป็นตำนานความโศกศัลย์ที่คนไทยไม่เคยลืม
*****************************
ข่าวที่เกี่ยวข้อง