ว่ากันว่า ภายหลังตำรวจได้พบจดหมายลาตายของจัสติน ใจความโดยรวมสรุปว่า เขาไม่ได้ข่มขืนเด็กชายคนดังกล่าว แต่เป็นการสมยอม แล้วมาแบล๊คเมล์เรียกเงินในภายหลัง
********************
โลกเรานี้มีอะไรซับซ้อน ย้อนแย้ง เกินกว่าจะเข้าใจนัก ยกตัวอย่างการแบ่งแยกสีผิวที่ปากบอกว่าโลกเสรีทุกวันนี้เปิดกว้าง หากเอาเข้าจริงๆ แล้วยังมีอีกหลายพื้นที่ ผู้คนกลับปฏิบัติตรงกันข้าม
เฉกเช่นกับเรื่องโคตะระเศร้าที่เกิดขึ้นกับอดีตนักเตะชื่อดังสีผิวคนหนึ่ง “จัสติน ฟาชานู” นักฟุตบอลชาวอังกฤษเชื้อสายไนจีเรีย
Ig : @footballphotographed
และก็ไม่ใช่เรื่องสีผิว แต่เป็นเรื่อง "รสนิยมทางเพศ" ที่เขากล้าประกาศตัวว่าเป็น “เกย์” แต่มันกลับส่งผลตามมาจนทำให้วันนี้เมื่อ 21 ปีก่อน ในเช้าวันที่ 3 พฤษภาคม 2541 เขาถูกพบเป็นศพห้อยอยู่บนขื่อกับเชือกเส้นหนึ่ง จากไปในวัยเพียง 37 ปี!
Ig :@_artoffootball_
ย้อนไปเรื่องราวของเขา จัสติน ฟานาชู เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2504 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พ่อเป็นชาวไนจีเรีย แม่เป็นชาวกายอานา
แต่ภายหลังหย่าร้างกัน ทำให้จัสติน และน้องชายอีกคน ต้องไประหกระเหินอยู่ตามสถานสงเคราะห์ แต่ด้วยความมุ่งมั้น ทั้งคู่ก็สามารถทำความฝันให้เป็นจริง ด้วยการกอดคอกันเข้ามาเป็นนักฟุตบอลอาชีพจนได้
ผลงานของเขาหลังเริ่มค้าแข้งกับ “นอริช ซิตี้” ในปี 2521 จัสตินสร้างชื่อด้วยการคว้ารางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปี 2525 จาก BBC จนได้ติดทีมชาติอังกฤษชุด U21 ได้สำเร็จ กระทั่งถูกดึงตัวไปร่วมทีม “น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์” ในปีต่อมา ด้วยค่าตัวถึง "1 ล้านปอนด์" นับเป็นชาวผิวสีคนแรกที่เม็ดเงินขนาดนี้
อย่างไรก็ดี ขณะที่เขาใช้ชีวิตโลดแล่นค้าแข้งอยู่ในสนาม และทุกอย่างก็ดำเนินมาตามปกติ แม้ว่าข่าวลือที่เริ่มกระเซ็นกระสายออกมาแล้วว่า เขานั้นเป็นรักร่วมเพศ เหลือเพียงความจริงจากปากของเขาเท่านั้น
Ig : @gentedisport
ปรากฎว่าวันหนึ่งในปี 2533 ขณะที่เขามีอายุ 29 ปี เขาตัดสินใจเปิดเผยเรื่องนี้กับสื่อลูกหนังชื่อดังอย่าง “เดอะซัน” หมดเปลือก ชนิดที่เป็นข่าวครึกโครมระเบิดโลกลูกหนังเลยทีเดียว
เพราะเดอะซันเองก็ไม่รอช้าที่จะพาดหัวข่าวตัวโตหน้า 1 ว่า “ดาวนักเตะค่าตัวล้านปอนด์ยอมรับว่าเป็นเกย์” ทั้งยังระบุในข่าวอ้างจัสตินด้วยว่า เขายอมรับว่าเคยมีความสัมพันธ์กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษคนหนึ่งที่แต่งงานแล้ว โดยทั้งคู่เจอกันที่บาร์เกย์ ก่อนลงเอยที่เตียงนอน
แน่นอน การเปิดเผยตัวตนทำนองนี้ในโลกทศวรรษนั้น ไม่ใช่เรื่องที่สังคมส่วนใหญ่จะออกมา “แอ๊บ” ว่า “รับได้” เหมือนยุคนี้ ยิ่งเวลานั้นการเป็นรักร่วมเพศยังถูกตีตราว่าเป็นเหตุต้นๆ ของการแพร่กระจายของเชื้อเฮชไอวีด้วยแล้ว
จัสตินแทบจะไม่เหลือที่ยืนในสังคมได้อีก โดยเฉพาะกับข่าวที่ระบุว่าจัสตินยอมเอาชีวิตตัวเองแลกกับเงิน 20,000 ปอนด์ จาก เดอะ ซัน ในการเปิดเผยถึงรสนิยมทางเพศดังกล่าว ยิ่งทำให้ภาพของเขาดูแย่เข้าไปอีก
โดยมุมนี้มีสื่ออีกเจ้าของแดนผู้ดี ที่ทำตัวราวกับคำเปรียบเปรยบ้านเราที่ว่า “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน” แต่แมลงวันบางตัวยังช่วยเพื่อนแมลงวันด้วยกันเองอีกด้วย!!
เพราะได้สำทับเพิ่มเติมว่า จัสตินต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องการเงินและยื่นข้อเสนอมายัง “เดอะ ซัน” และเรียกเงินตามจำนวนดังกล่าว โดยหวังที่จะนำเงินก้อนนี้ไปเปิดบาร์เกย์ในเมืองโตรอนโต้ ประเทศแคนาดา ทั้งนี้ เขาเพิ่งย้ายสัมมะโนครัวไปค้าแข้งที่นั่นในช่วงเวลานั้นพอดี
ขณะที่ในด้านความสัมพันธืกับคนรอบด้านของจัสติน ก็แทบดิ่งเหว เช่นกนซือของเขาเอง อย่าง "ไบรอัน คลัฟ" ก็รับไม่ได้กับเรื่องนี้
ไบรอัน คลัฟ
ภาพจาก https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-2104035/Brian-Cloughs-views-devastated-Justin-Fashanu.html
สิ่งที่ไบรอันปฏิบัติกับจัสตินก็คือให้จัสตินแยกซ้อมเดี่ยว จนเมื่อผลงานของจัสตินเริ่มขาลง ไบรอันก็ออนเซลล์จัสตินให้สโมสรอื่นๆ เช่น เซาธ์แธมป์ตัน ตามมาด้วย น็อตส์ เคาน์ตี้ ว่ากันว่าตอนนั้นค่าตัวจัสตินตกฮวบ เหลือแสนกว่าปอนด์เท่านั้น
ยิ่งกับแฟนบอล ทั้งบรรดากองเชียร์ฝ่ายตรงข้าม หรือบางทีอาจเป็นฝ่ายทีมเขาเองด้วยซ้ำ ที่ขณะเมื่อเขาลงฟาดแข้ง ก็จะได้ยินคำเย้ยหยัน ล้อเลียน ความเป็นเกย์ของเขาอยู่เนืองๆ ตลอดหลายปีหลังจากนั้น
ถึงตรงนี้ คงไม่ต้องอธิบายว่าจัสตินจะเจอพายุคอมเม้นท์และคำดูถูกจากประชาชนขนาดไหน จนกระทั่งเลิกลา และแขวนสตั๊ดไปเมื่อปี 2540 หรือปีเดียวก่อนเสียชีวิต
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิดว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้จัสตินอยู่รู้สึกว่าอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
แม้จะมีส่วนอยู่บ้าง เพราะว่ากันว่า สื่อ เดอะ ซันเองก็เม้าท์มอยเรื่องของจัสตินเกินเลยไปมาก โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์กับ ส.ส. ก็ไม่มีมูลความจริง
แต่มันคงเทียบไม่ได้กับผลข้างเคียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเขานับจากนั้น ซึ่งมันน่าเศร้าเอามากๆ
เรื่องแรก คือ จัสตินต้องแตกหักกับน้องชายคนเดียวของเขาที่สู้มาด้วยกันตลอดอย่าง "จอห์น ฟาชานู" ที่ไม่เห็นด้วยกับการเปิดเผยตัวตนของพี่ชาย และพยายามห้ามมาตั้งแต่แรก
Ig : @pagegrower
ว่ากันว่าเดิมที จอห์นผู้ที่มีผลงานในลีกอังกฤษโดดเด่นไม่แพ้พี่ชาย หากแต่เพิ่งมาท็อปฟอร์มเอาช่วงหลังจากที่พี่ชายเริ่มอับแสงแล้ว จอห์นเขาเคยเสนอเงินรูดซิปปากพี่ชายเป็นจำนวนถึง 75,000 ปอนด์ มากกว่าที่ได้จาก The Sun หลายเท่า แต่ก็ไม่สำเร็จ สิ่งนี้เลยทำให้ทั้งคู่แตกหักกันในที่สุด
ภาพจาก www.theguardian.com/football/2017/may/01/john-fashanu-on-his-brother-justin-he-was-my-shining-light-he-became-my-arch-enemy
เรื่องต่อมา และน่าจะนับเป็นฟางก้อนสุดท้ายที่เกินจะแบกไว้ได้อีกแล้ว คือ ช่วงสองเดือนก่อนจัสตินเสียชีวิต เขาเจอข้อหาล่วงละเมิศทางเพศผู้เยาว์ โดยเป็นวัยรุ่นชายคนหนึ่ง อายุ 17 ปี ได้ออกมากล่าวหาจัสตินเช่นนั้น
ที่น่าตกใจคือ เวลานั้นจัสตินพำนักอยู่ในรัฐแมรี่แลนด์ ที่พฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นสิ่งผิดกฎหมายของหลายรัฐในอเมริกา ดินแดนแห่งเสนรีภาพ รวมถึงแมรี่แลนด์ด้วย
โดยโทษของคดีนี้หากว่าตำรวจตั้งข้อหาทำร้ายร่างกาย และข่มขืน และหากถูกตัดสินว่าผิดจริง จัสตินอาจต้องถูกจำคุกสูงถึง 20 ปี!!
เมื่อการณ์มาขนาดนี้ จัสตินจึงตัดสินใจบินกลับอังกฤษทันทีในเดือนถัดมา และเลือกที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองด้วยลมหายใจสุดท้ายกับเชือกเส้นหนึ่งภายในโรงรถที่บ้านของในเช้าวันหนึ่ง
ว่ากันว่า ภายหลังตำรวจได้พบจดหมายลาตายของจัสติน ใจความโดยรวมสรุปว่า เขาไม่ได้ข่มขืนเด็กชายคนดังกล่าว แต่เป็นการสมยอม แล้วมาแบล๊คเมล์เรียกเงินในภายหลัง
และยังระบุว่า “ผมเข้าใจดีว่า ด้วยตัวตนที่เป็นก็เหมือนกับถูกตัดสินให้มีความผิดกลายๆ อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ต้องการที่จะให้เพื่อนๆ และครอบครัวต้องลำบากใจอีกต่อไปแล้ว”
แน่นอนหลังการตายของจัสติน จะส่งแรงกระเพื่อมและคำถามต่างๆ นานา ถึงความอยุติธรรม ความเท่าเทียม การเลือกปฏิบัติ โดยชื่อของ จัสตินจะถูกนึกถึงในฐานะความเท่าเทียมกันทางเพศมาจนทุกวันนี้
ภาพโปสเตอร์หนังสารคดี เรื่องราวของ จัสติน ฟานาชู ที่ออกฉายเมื่อปี 2560
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่กล้าฟันธงว่ามีนักเตะคนไหนอีกบ้าง ที่กล้าหาญออกมายอมรับกับชาวโลกเหมือนที่จัสตินได้ทำไว้เป็นคนแรก
หรือว่าโลกของลูกหนัง มันไม่ใช่ที่ทางของชาวสีรุ้ง?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง