วันนี้ในอดีต

13 มี.ค. 2507 ศุกร์อาถรรพ์ โลกเมิน ฆาตกรรม "คิตตี้ เจโนวีส

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

  ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็แค่อยากจะกลับบ้านเพื่อไปพักตัวลงบนที่นอนอุ่นๆ แต่เธอโชคร้ายที่ไปเจอกับอมนุษย์คนหนึ่ง 

          ************//***************

          ความเชื่อของชาวโลกกับอาถรรพ์ศุกร์ 13 ยังคงมีอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่ามันจะอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม

          แต่สำหรับ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องประสบเคราะห์กรรมอันเลวร้ายเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2507 หรือวันนี้ของ 55 ปีก่อน สำหรับเธอและคนที่รักเธอมันคืออาถรรพ์อันโหดร้ายที่สุด

          แคทเธอรีน ซูซาน เจโนวีส หรือ คิตตี เจโนวีส เกิดวันที่ 7 กรกฎาคม 2478 (ค.ศ.1935) เธอเป็นชาวอเมริกัน และเป็นลูกคนโตในจำนวนพี่น้อง 5 คนในครอบครัวอิตาเลียนชนชั้นกลาง ที่อาศัยอยู่ในบรู๊คลิน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

 

13 มี.ค. 2507  ศุกร์อาถรรพ์ โลกเมิน  ฆาตกรรม "คิตตี้ เจโนวีส

 

          สำหรับย่านบรู๊คลินนั้น แม้ปัจจุบันจะนับเป็นย่านที่มีเสน่ห์แห่งหนึ่งของดินแดนแห่งเสรีภาพนี้ เพราะเต็มไปด้วยสีสันความหลากหลาย แต่ในยุคหนึ่งที่นี่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่แห่งอาชญากรรม

          ดังเช่นที่ครอบครัวของ คิตตี เจโนวีส ได้เจอครั้งแรก เมื่อบังเอิญว่าแม่ของเธอได้ไปพบเห็นการฆาตกรรมในเมืองเข้า เธอจึงรู้สึกกลัวและตัดสินใจย้ายครอบครัวไปอยู่ที่คอนเน็กติกัต เพราะเชื่อว่าที่นั้นปลอดภัยกว่า 

          อย่างไรก็ตามในปี 2497 (ค.ศ.1954) เจนโนวีสในวัย 19 ถึงเวลาติดปีกเดินตามฝัน และเธอได้ตัดสินใจเดินทางมายังเมืองหลวงซึ่งก็หมายถึง "บรู๊คลิน" อีกครั้ง

 

13 มี.ค. 2507  ศุกร์อาถรรพ์ โลกเมิน  ฆาตกรรม "คิตตี้ เจโนวีส

http://www.trendnet.me/winston-moseley-now.html

 

          ที่นี่เธอและได้พบ "แมรี่ แอน ซีลอนคา" ข้อมูลระบุว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิง และอาศัยอยู่ด้วยกันที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในนิวการ์เด้น พื้นที่ใกล้เคียงของเมืองควีนส์ ในนิวยอร์ก

          แต่เจโนวีสก็นับเป็นผู้หญิงที่มีความดึงดูดแก่คนรอบข้าง เธอมีผมสีดำและมีดวงตาสีเขียวมรกต ที่นี่เธอใช้ชีวิตปกติทั่วไปเฉกเช่นคนอื่นๆ กระทั่งได้งานเป็นผู้จัดการบาร์ที่ "Ev's Eleventh Hour Club" ในถนนจาเมกา อเวนิว

          ใครจะคาดคิดว่าวันหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนกับวันอื่นๆ ที่ชีวิตของเธอดำเนินมาจนย่างปีที่ 10 ณ บรูคลิน ศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2507 เจโนวีสได้สูดลมหายใจสุดท้ายไว้ที่อายุ 29 ปี เธอถูกแทงตายใกล้ๆ ที่พักของเธอเองอย่างน่าสลดใจ 

 

13 มี.ค. 2507  ศุกร์อาถรรพ์ โลกเมิน  ฆาตกรรม "คิตตี้ เจโนวีส      

ภาพอพาร์ตเมนท์ที่พักซึ่งเจโนวีสเสียชีวิตที่นี่ ภาพถ่ายเมื่อปี 2508 โดย Edward Hausner/The New York Times

 

          ถามว่าเรื่องราวการตายของผู้หญิงคนหนึ่งมีความหมายยังไง แน่นอน นอกจากมีความหมายอย่างหนักหนาสาหัส สำหรับคนในครอบครัวที่ต้องสูญเสียคนรักแล้ว การตายของเจโนวีสยังสร้างปรากฏการณ์โลกตะลึงอีกด้วย

          เพราะนี่คือคดีประวัติศาสตร์ที่เป็นการตั้งคำถามถึงมนุษย์ด้วยกันเอง โดยเฉพาะหัวใจของคนที่สามารถเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของคนอื่น ทั้งที่เหตุการณ์กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า

          ใช่แล้ว กับความโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่าง เจโนวีส ในวันนั้น มีข้อมูลระบุว่าขณะที่ คิตตี้ เจโนวีส กำลังกลับบ้านของเธอย่านเมืองควีนส์ นิวยอร์ก เวลานั้นเป็นเวลาประมาณตี 3 ของเช้าวันใหม่

          ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็แค่อยากจะกลับบ้านเพื่อไปพักตัวลงบนที่นอนอุ่นๆ แต่เธอโชคร้ายที่ไปเจอกับอมนุษย์คนหนึ่ง 

          เรื่องราววันนั้น ถูกรายงานจากสื่อภายหลังว่ามันคือ 30 นาทีอันเลวร้ายแห่งมวลมนุษยชาติ และเป็น 30 นาทีอันยาวนานสำหรับเจโนวีส

          มันเริ่มต้นหลังจากที่เจโนวีสได้จอดรถในพื้นที่จอดรถซึ่งอยู่ติดกับอพาร์ทเม้นที่เธออาศัยอยู่ แต่ในขณะที่เธอกำลังมุ่งหน้าไปยังตัวอาคารที่พัก เธอสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนกำลังแอบตามเธอในมุมมืด แต่ก็พอที่จะสังเกตได้ว่าเป็นชายผิวดำคนหนึ่ง เธอจึงพยายามหนีโดยวิ่งมาจนถึงทางสัญจรหลัก แต่ก็สายเกินไป ปีศาจตนนั้นได้ตามมาทันและเข้ามาทำร้ายเธอโดยจ้วงแทงสองครั้งที่ท้องจนเลือดไหลทะลัก

 

13 มี.ค. 2507  ศุกร์อาถรรพ์ โลกเมิน  ฆาตกรรม "คิตตี้ เจโนวีส

EDDIE HAUSNER/NEW YORK TIMES

 

          นาทีชีวิตนั้น เจโนวีสยังคงส่งเสียงกรีดร้องได้ เธอจึงตะโกนเพื่อขอความช่วยเหลือ “พระเจ้า......เขาจะแทงฉัน”

          ว่ากันว่าตอนนั้นเสียงของเธอได้ทำให้ผู้คนที่อาศัยตามอาคารรอบๆ เปิดไฟ แต่สายตาของผู้คนทั้งที่อยู่ตามอาคาร และที่เดินผ่านไปผ่านมาเวลานั้นหลายคน ย้ำว่าหลายคน กลับไม่มีใครเลยที่จะเขาไปช่วยเหลือหรือพยายามที่จะโทรแจ้งตำรวจในขณะที่เห็นเหตุการณ์ นอกจากนายโรเบิร์ต โมเซอร์หนึ่งในเพื่อนบ้านได้ตะโกนไปที่คนร้ายว่า "อย่าไปยุ่งกับเธอ!!

          เมื่อมือมีดได้ยินก็ตกใจ จึงเป็นโอกาสที่เจโนวิสได้วิ่งหนีออกมา แต่เธอวิ่งได้ไม่เร็วนักเพราะโดนแทงไปหลายครั้ง ว่ากันว่าช่วงที่เธอกระเสือกกระสนวิ่งไปยังด้านหลังอพาร์ตเม้นต์ของเธอ ช่วงนั้นก็มีพยานหลายคนเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมากมาย แต่พวกเขาทำได้แค่เฉย!

          เชื่อหรือไม่ว่า แทนที่เรื่องจะจบลงตรงนี้ ปรากฏว่าเมื่อมือมีดซึ่งตกใจเสียงตะโกนไล่จากผู้ชายคนหนึ่ง และรีบหนีไปที่รถของเขาและพยายามที่จะออกจากที่เกิดเหตุ

          แต่ไม่นานเขาก็กลับมาอีกในอีก 10 นาทีต่อมา หลังจากที่เห็นว่าไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือเจโนวีสเลย เขาจึงกลับไปตามหาเจโนวิสอีกครั้ง

 

13 มี.ค. 2507  ศุกร์อาถรรพ์ โลกเมิน  ฆาตกรรม "คิตตี้ เจโนวีส

http://www.trendnet.me/winston-moseley-now.html

 

          ข่าวระบุว่า คนร้ายตามไปจนพบเจโนวีสที่พื้นที่ล็อบบี้ด้านหลังของอาคารในสภาพแทบไม่มีสติ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบว่าเกิดขึ้นอะไรกับเธอ นอกจากเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพบเธอในภายหลัง  หลังจากที่พลเมืองดีคนหนึ่งที่ได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ ตอนที่เรื่องเลวร้ายผ่านไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง

          สภาพที่พบ เจโนวีสถูกแทงหลายแผล มีบาดแผลมากมายบนมือจากการพยายามป้องกันตนเองจากมีด และที่เลวร้ายอีกเรื่องคือ ขณะที่เธอนอนหมดสติชายคนนั้นยังข่มขืนเธอและขโมยเงินจำนวน 49 ดอลลาร์สหรัฐฯ ของเธอไปด้วย

          เจโนวีสเสียชีวิตขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เธอกลับมาตายในที่ๆ ครอบครัวได้พาเธอหนีออกมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน นี่จึงนับเป็นครั้งที่สองที่แม่ของเจโนวีสต้องเจอกับเหตุฆาตกรรม เพียงแต่คราวนี้เป็นบุตรสาวของเธอเอง

           ที่สุดเจ้าหน้าที่สืบสวนจนพบว่า ผู้ร้ายคือ นายวินสตัน มอสลีย์ ซึ่งถูกจับกุมในเวลาต่อมา ผู้ชายคนนี้มีอายุเท่ากับเจโนวีสขณะเกิดหตุ คือ 29 ปี เขาเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่ทำธุรกิจเล็กๆ ประวัติลักเล็กขโมยน้อย

 

13 มี.ค. 2507  ศุกร์อาถรรพ์ โลกเมิน  ฆาตกรรม "คิตตี้ เจโนวีส

 

          จากการสอบสวนเขาจนมุมด้วยหลักฐานทุกอย่างทั้งคราบอสุจิ และเมื่อตำรวจถามถึงแรงจูงใจ เขาแค่ตอบว่า “ผมแค่อยากฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง เธอฆ่าง่ายและไม่ต่อสู้ตอบโต้ด้วย”

 

          ทั้งนี้ในวันเกิดเหตุ มอสลีย์ได้ตื่นนอนตอนตี 2 ออกจากเตียงที่ภรรยาของเขากำลังหลับอยู่ ก่อนที่จะออกจากบ้านแล้วขับรถไปตามหาเหยื่อ จนกระทั่งมาพบเจโนวิส และก็ตามเธอมาจนถึงลานจอดรถ จนเมื่อสบโอกาสก็จัดการกับเธอเหมือนกับที่เล่าไปข้างต้น

 

13 มี.ค. 2507  ศุกร์อาถรรพ์ โลกเมิน  ฆาตกรรม "คิตตี้ เจโนวีส

 

          มอสลีย์ถูกตัดสินคดีฆาตกรรมเจโนวิส ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้นเอง แน่นอนเขาถูกตัดสินให้ประหารชีวิต แต่แล้วไม่นานนักมอสลีย์ก็ได้ลดหย่อนโทษโดยวันที่ 1 มิถุนายน 2510 ศาลอุทธรณ์ได้พบว่าเขามีอาการทางจิตชอบมีเพศสัมพันธ์กับศพ

           ที่สุดศาลได้พิจารณาแล้วว่าจึงเปลี่ยนมาเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตแทน และเชื่อหรือไม่ว่า มอสลีย์เพิ่งเสียชีวิตในคุกไปเมื่อ 3 ปีก่อนในวัย 81 ปี เขาตายวันที่ 28 เดือนมีนาคม เดือนเดียวกับที่เขาก่อเหตุนั่นเอง

 

13 มี.ค. 2507  ศุกร์อาถรรพ์ โลกเมิน  ฆาตกรรม "คิตตี้ เจโนวีส

 

          อย่างไรก็ดี กลับมาที่เรื่องราวที่โหดร้ายไม่แพ้กัน นั่นคือพยานซึ่งเมินเฉยต่อ 30 นาทีอันโหดร้ายของเจโนวีส พวกเขามีจำนวนราว 38 คน ที่เป็นบุคคลใกล้เคียงที่ได้ยินเสียงและเห็นการทำร้ายดังกล่าว แต่หลายคนไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องนี้ได้รับการขนานนามจากสาธารณชนว่าเป็นตัวอย่างของความไร้น้ำใจของคนในสังคม

           แต่นักจิตวิทยาได้มองพฤติกรรมพยานของคดีนี้ว่าเกิดจาก “การกระจายความรับผิดชอบ” หรือ “ปรากฏการณ์คนมุงผู้เพิกเฉย” ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “เจโนวีส ซินโดรม”

           ซึ่งเป็นความเพิกเฉยของผู้เห็นเหตุการณ์ (bystander effect) ที่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือใดๆ แก่ผู้เดือดร้อนที่อยู่ตรงหน้า ทำได้แต่ยืนดู และที่น่าสนใจคือยิ่งมีคนอยู่รอบข้างมาก จะยิ่งไม่มีคนให้ความช่วยเหลือ เกิดจากความคิดที่ว่าในเมื่อมีคนอื่นอยู่กันมากมาย ก็ไม่ใช่ธุระของตนเองที่จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

           ทั้งนี้ นักจิตวิทยาอธิบายเพิ่มเติมว่าโดยปกติแล้วคนเราจะมีความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่ เวลาอยู่คนเดียวแล้วเห็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือเราจะวิ่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือในทันที เพราะว่ามีแต่เราอยู่คนเดียวเท่านั้น แต่พอมีหลายคนเข้าการปัดความรับผิดชอบก็จะเกิดขึ้น

            วันนี้ถ้าเจโนวีสยังมีชีวิตอยู่ เธอก็อาจจะเป็นคุณยายวัย 81 ของหลานๆ สักคนกระมัง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ