วันนี้ในอดีต

15 ก.พ. 2556 ปิดแฟ้มชีวิต พญาชาละวัน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

วันนี้เมื่อ 6 ปีก่อน การเมืองไทยได้สูญเก๋าการเมืองไปอีก 1 ท่าน คือ พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์  ที่ได้ถึงแก่อนิจกรรมไปจากการป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง

 

 

**************************    

     

          สำหรับบุรุษผู้นี้เรารู้กันดีว่าเขานั้นเคยเป็น รองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา และอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งยั้งเป็นผู้ก่อตั้ง และเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคมหาชน และเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีชื่อที่นิยมเรียกกันทั่วไปว่า "เสธ.หนั่น"

 

 

15 ก.พ. 2556  ปิดแฟ้มชีวิต  พญาชาละวัน

         

          พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นชาวจังหวัดพิจิตร เป็นคนใหญ่แห่งเมืองพิจิตร เราจึงเรียกเขาว่า "ชาละวันการเมือง"

 

          เขาเกิดวันที่ 7 กันยายน  2478 เป็นบุตรคนที่ 6 ของขุนขจรประศาสน์ (ทองอยู่ ขจรโลก) และนางบ๊วย มีพี่น้องรวมกันทั้งสิ้น 7 คน

 

          ต่อมาวันที่ 24 กันยายน  2485 บิดาได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ราชทินนามเป็นนามสกุล

 

          สำหรับชีวิตส่วนตัวพลตรีสนั่น สมรสกับ ฉวีวรรณ ขจรประศาสน์ (นามสกุลเดิม วงศ์ใหญ่) มีบุตรธิดารวม 4 คน คนที่ 3 เป็นบุตรชายเข้าสู่วงการเมือง คือ ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิจิตร เขต 3 พรรคมหาชน ส่วนอีก 3 คนเป็นบุตรสาวทั้งหมด คือ บงกชรัตน์ ขจรประศาสน์, ปัทมารัตน์ ขจรประศาสน์ และวัฒนีพร ขจรประศาสน์

 

          พลตรีสนั่น มีธุรกิจส่วนตัวคือ ฟาร์มนกกระจอกเทศชื่อ “ขจรฟาร์ม” ซึ่งเป็นฟาร์มนกกระจอกเทศที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังทำไร่องุ่นดงเจริญ และผลิตไวน์ชื่อ “ชาโต เดอ ชาละวัน”

 

 

15 ก.พ. 2556  ปิดแฟ้มชีวิต  พญาชาละวัน

ภาพจาก http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/12/E7299507/E7299507-69.jpg

 

 

          พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ เคยรับราชการเป็นทหารบกเหล่าทหารม้า มียศทางทหารสุดท้ายเป็นพันโท ก่อนจะถูกให้ออกจากราชการ เมื่อปี 2520 เมื่อร่วมก่อการกบฏ 26 มีนาคม 2520 ซึ่งมี พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริเป็นหัวหน้า และมี พ.ท.สนั่น (ยศขณะนั้น) เป็นเลขาธิการคณะ

 

          ครั้งนั้น พ.ท.สนั่นถูกจำคุกที่เรือนจำลาดยาว จากข้อหากบฏ ทำให้ได้พบและสนิทสนมกับ พ.อ.มนูญ รูปขจร (ยศขณะนั้น) โดย เหตุการณ์กบฏ 26 มีนาคม  2520 นั้น มีความพยายามโค่นล้มรัฐบาลชุดที่มีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี จาก พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ แต่ไม่สำเร็จ พล.ต.สนั่น ซึ่งในขณะนั้นมียศเป็น พันโท (พ.ท.) ได้เข้าร่วมกับฝ่ายกบฏด้วย

 

          ภายหลัง เมื่อถูกจับ ถูกตัดสินจำคุกซึ่งต่อมาได้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตร่วมกับผู้ก่อการคนอื่น ๆ แต่ภายหลังทั้งหมดได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปีเดียวกัน

 

 

 

15 ก.พ. 2556  ปิดแฟ้มชีวิต  พญาชาละวัน

 

 

          ต่อมาในภายหลังเมื่อ พ.ท.สนั่น ได้เข้าทำงานการเมืองและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ท.สนั่นได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเป็น “พลตรี” เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม  2532

 

          คนไทยคงจำกันได้กับกรณีกลุ่มงูเห่าและพรรคประชากรไทย เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงปลายปี  2540 ที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ถูกแรงกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เนื่องจากการลดค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 และตัดสินใจลาออกเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน  2540

 

          ในเวลานั้นพรรคร่วมรัฐบาล ที่ประกอบด้วย พรรคความหวังใหม่, พรรคชาติพัฒนา, พรรคชาติไทย, พรรคประชากรไทย, พรรคกิจสังคม ตกลงร่วมกันที่จะสนับสนุน พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา อดีตนายกรัฐมนตรี ให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่ทางพรรคฝ่ายค้านที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ และมีจำนวนส.ส.น้อยกว่าพรรคความหวังใหม่เพียง 2 เสียง ก็มีความพยายามที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยเช่นกัน

 

          วันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 เสนาะ เทียนทอง เลขาธิการพรรคความหวังใหม่ ได้จัดแถลงข่าว ยืนยันการจัดตั้งรัฐบาล โดยมี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ชั้นล่างของทำเนียบรัฐบาล แต่ในเวลาเดียวกัน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็เปิดแถลงข่าว เรื่องการจัดตั้งรัฐบาลด้วย โดยมีเสียงสนับสนุนจากพรรคกิจสังคมของ นายมนตรี พงษ์พานิช ที่ย้ายฟากมาจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมอย่างกะทันหัน และมีตัวแปรสำคัญคือ ส.ส. พรรคประชากรไทย จำนวน 12 คน นำโดย นายวัฒนา อัศวเหม และ นายฉลอง เรี่ยวแรง ที่เข้าร่วมสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์

 

          ขณะที่หัวหน้าพรรคประชากรไทย คือ นายสมัคร สุนทรเวช ไม่ทราบมาก่อนและยังสนับสนุนฝ่าย พล.อ.ชาติชาย ทำให้สถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเสียงทางฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์มีมากกว่า และทำให้นายชวน หลีกภัย ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 ในที่สุด

 

          หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ได้กล่าวเปรียบเทียบว่า ตนเป็นเหมือนชาวนาในนิทานอีสป เรื่อง “ชาวนากับงูเห่า” ที่เก็บงูเห่าที่กำลังจะตายจากความหนาวเย็น มาไว้ในอกเสื้อเพื่อให้ความอบอุ่น แต่ต่อมางูเห่านั้นก็ฉกชาวนาตาย ซึ่งนายสมัครเปรียบเทียบกับ แกนนำของ ส.ส. ทั้ง 12 คน

 

          โดยเฉพาะ ส.ส.กลุ่มปากน้ำ ของนายวัฒนา อัศวเหม ซึ่งเดิมสังกัดพรรคชาติไทย แต่ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ไม่มีพรรคใดรับเข้าสังกัด จนในที่สุดมาเข้าสังกัดพรรคประชากรไทย ที่นายสมัครเป็นหัวหน้าพรรค และต่อมามีการตัดสินใจทางการเมือง ที่ขัดต่อมติพรรคดังกล่าว ทำให้ต่อมาสื่อมวลชน เรียก ส.ส. 12 คนนี้ตามคำพูดของนายสมัครว่า “กลุ่มงูเห่า” อยู่เป็นเวลานาน (อ่าน http://www.komchadluek.net/news/today-in-history/351204)

 

 

15 ก.พ. 2556  ปิดแฟ้มชีวิต  พญาชาละวัน

 

 

          ต่อมามีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ส.ส. พรรคประชากรไทยทั้ง 12 คน มีสิทธิตามกฎหมาย ที่จะตัดสินใจทางการเมืองโดยอิสระ เช่น การสนับสนุน นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมติพรรค หรือความต้องการของหัวหน้าพรรคการเมืองที่ตนสังกัด การรวบรวมเสียง ส.ส. จนสามารถสนับสนุน นายชวน หลีกภัย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 ได้สำเร็จครั้งนี้ ทำให้ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น ได้รับการกล่าวขานถึงในฐานะผู้มีเหลี่ยมคูทางการเมือง และเป็นกรณีศึกษาหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย

 

          อย่างไรก็ดี พล.ตรี สนั่นเคยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี โดย อดิศร เพียงเกษ ส.ส.จังหวัดขอนแก่น พรรคความหวังใหม่ ได้เปิดเผยข้อมูลระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจพลตรีสนั่น ว่า พลตรีสนั่น แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ ต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยระบุว่ามีการกู้ยืมเงินจำนวน 45 ล้านบาท จากบริษัทหนึ่งทั้งที่ไม่มีการกู้ยืมจริง

 

          ต่อมา วีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพประชาชน ได้ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง จนคดีเข้าสู่ กระบวนการทางกฎหมาย และต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2543 ว่า พล.ต.สนั่น มีความผิด ฐานจงใจแสดง บัญชทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 295 ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

 

          จากการถูกดำเนินคดีทางการเมืองดังกล่าว ทำให้ พล.ต.สนั่น ต้องลาออกจากตำแหน่ง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นมายาวนานถึง 13 ปี โดยมี นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เข้ารักษาการตำแหน่งเลขาธิการพรรคเป็นเวลาสั้นๆ และต่อมา นายอนันต์ อนันตกูล ได้รับเลือกให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2543

 

          ที่สุดชาละวันการเมืองก็กลับมา ก่อตั้งพรรคมหาชน โดยมี ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2548 และต่อมา พล.ต.สนั่น ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อมา

 

          แต่พรรคมหาชนก็ปิดฉากลงไม่นานจากนั้น โดยวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550 พล.ต.สนั่น พร้อมด้วย นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ บุตรชาย และสมาชิกพรรคมหาชน เดินทางไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติไทย โดยให้เหตุผลว่ากฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบันไม่เอื้อต่อการดำเนินงานของพรรคการเมืองขนาดเล็ก ถือเป็นการสิ้นสุดการดำเนินงานของพรรคมหาชนไปโดยบริยาย

 

         อย่างไรก็ดี การเมืองไทย เรื่องแปลก เพราะที่สุด พล.ต.สนั่นจากพรคชาติไทย ก็มาร่วมรัฐบาลช่วงปี  2551 โดยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ช่วง 6 กุมภาพันธ์-24 กันยายน  2551  ต่อด้วยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ช่วง 24 กันยายน -19 ธันวาคม  2551 แถมยังร่วมกับ รัฐบาลนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นับแต่ 20 ธันวาคม 2551 - 9 สิงหาคม  2554 ในนามพรรคชาติไทยพัฒนา

 

 

15 ก.พ. 2556  ปิดแฟ้มชีวิต  พญาชาละวัน

 

 

          ชาละวันการเมืองไปได้หมดถ้าสดชื่น การสถิตที่พรรคชาติไทย จนเปลี่ยนมาเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา นับว่ามาถูกทางจริงๆ

 

          ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม 2555 พล.ต.สนั่น ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมือง โดยขอยุติการทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส. แต่ยังคงพร้อมที่จะช่วยงานในส่วนของพรรค และงานการเมืองของประเทศต่อไป

 

          อย่างไรก็ดี  จะชาละวันหรือมังกร ก็หนีปัญหาสุขภาพไปไม่พ้น พล.ต.สนั่น ได้ล้มป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพอง และเกิดอาการหัวใจวายกะทันหัน จนครอบครัวต้องนำส่งโรงพยาบาลนนทเวช เมื่อกลางดึกของวันที่ 22 พฤศจิกายน  2555 แพทย์ต้องปั๊มหัวใจให้ฟื้นชีพ แต่อาการไม่ดีขึ้น จึงย้ายไปโรงพยาบาลศิริราช

 

          รักษาอยู่ระยะหนึ่งก็ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบ เมื่อเวลา 17.09 น. วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นอัน ปิดแฟ้มชีวิต พญาชาละวัน ไว้แต่เพียงเท่านี้

 

 

*****************************

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ