ช่วงชีวิตของแซม เคยมีเรื่องที่ทำให้เขาใจสลาย คือ การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ตัวเขาเองก็ต้องมาจากไป และก็ทำให้คนที่รักเขา หัวใจสลายเช่นกัน
โลกนี้มีคนดังจำนวนมากที่ต้องจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร ด้วยน้ำมือของคนอื่น
อย่างเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันนี้ของ 54 ปีก่อน ที่ แซม คุก ศิลปินหนุ่มวัยเพียง 33 ต้องมาเสียชีวิตจากการถูกยิงที่ยังคงเป็นปริศนา
http://teachrock.org/article/the-soul-stirrer-sam-cooke/
เพราะการตายของเขา ยังคงเป็นเรื่องราวที่แฟนเพลงถกเถียงกันไม่จบ เช่นว่า ทำไมเขาถูกจึงยิงในสภาพเปลือย มีเพียงเสื้อโค้ทและรองเท้า
โดยมือปืน คือ เบอร์ธา แฟรงคลิน ผู้จัดการโรงแรมที่เขาพักอาศัย หากเบอร์ธาให้การว่าเธอยิงแซมเพราะต้องการป้องกันตัว
แน่นอนที่เรื่องราวทั้งหมดก็ยังคงไม่มีบทสรุปว่าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดกันแน่
แต่ที่แน่กว่าแน่ คือแฟนเพลงของเขาทั่วโลกต่างร่ำไห้กับการจากไปอย่างกระทันหันครั้งนี้สุดๆ
สำหรับประวัติของ แซม คุก หรือ แซมูเอล คุก นั้นมีว่า เขาเกิดเมือวันที่ 22 มกราคม 2474 ที่ Mississippi เป็นบุตรของ ลินดา โวแมค และ วินเซนต์ คุก
แซมมีพี่น้องรวมตัวเขาด้วย 8 คน เมื่อย้ายมาชิคาโก เขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกับ “ปู่แน็ทคิงโคล” ซึ่งเป็นรุ่นพี่สอง-สามปี
ต่อมาแซมเริ่มร้องเพลงแนว gospel กับญาติๆ จนได้มีโอกาสเซ็นสัญญากับบริษัทแผ่นเสียงออกอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จทำให้เพลงแนวนี้ เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น
ต่อมาแซมก็ข้ามไปสู่แนวเพลงพ็อพ “sent” เพลงดัง “You Send Me” ขึ้นอันดับทั้ง R&B และ pop chart
แซมกลายเป็นนักร้องผิวสีในตำนานที่ขยับจากนักร้อง gospel กลายเป็นนักร้องเซ็กซี่ซุปตาร์ ผู้ถือเป็นผู้บุกเบิกรุ่นแรกๆ ของวงการเพลงโซล จนได้รับการขนานนามว่า ราชาเพลงโซล King of Soul
คุกมีเพลงฮิตติดท็อป 40 ในอเมริกา 29 เพลง ในระหว่างปี 1957-1965 มีเพลงดังสำคัญ ๆ อย่าง “You Send Me”, “A Change Is Gonna Come”, “Chain Gang”, “Wonderful World” และ “Bring It on Home to Me” คุกยังเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงผิวดำคนแรก ๆ ที่ก้าวสู่วงการธุรกิจ เขาก่อตั้งค่ายเพลงและบริษัทสิ่งพิมพ์ เพื่อขยับขยายงานทางด้านร้องเพลงและแต่งเพลงของเขา ทางด้านงานสังคมเขายังเป็นส่วนหนึ่งของ American Civil Rights Movement
นอกจากนี้ยังเป็นนักร้องรุ่นบุกเบิกที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมเพลง เปิดบริษัทแผ่นเสียงและสำนักพิมพ์ ทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนนักร้องผิวสีรุ่นหลังให้ก้าวจากแนวเพลง gospel มาสู่แนว pop
แซมมีชีวิตสมรสสองครั้ง คู่ชีวิตก่อนเสียชีวิตคือ บาร์บารา แคมป์เบล แต่งงานกันช่วงปี พ.ศ. 2502 จนถึง 2507 มีบุตรด้วยกันสามคน คือ ลินดา เทรซี่ และวินเซนต์,ส่วนภรรยาคนแรกคือ โดโลเรส โมฮอว์ค แต่งงานกันช่วงปี พ.ศ. 2496–จนถึง พ.ศ. 2500 จึงอย่าขาดจากกัน
บาร์บารา แคมป์เบล
ช่วงชีวิตของแซม เคยมีเรื่องสุดเศร้าครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตสองครั้ง ครั้งแรกคือ ภรรยาคนแรกของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตช่วงปี พ.ศ.2502 แม้ว่าจะหย่าขาดจากกันแล้วตั้งแต่ช่วงปี 2500 แต่ก็นับเป็นความสูญเสียอย่างสุดจะบรรยายได้ ในการนี้แซมยังได้ดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดในส่วนของพิธีศพของอดีตภรรยาอีกด้วย
ส่วนอีกครั้งซึ่งเป็นที่สุดแล้วของชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นปีเดียวก่อนที่เขาจะเสียชีวิต คือช่วงปี 2506 แซมต้องสูญเสียลูกชายวัย 18 เดือนของเขา หรือ วินเซนต์ ที่เกิดแต่ภรรยาคนที่สอง ช่างโชคร้ายที่หนูน้อยไปจมน้ำตายที่บ่อหน้าบ้าน
เวลานั้นแซมตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า และมีปัญหาหมางเมินกับภรรยา จนกระทั่งวันที่ใครจะคาดถึงก็เกิดขึ้น
กระสุนจากลำปืน ผ่านเข้าร่างของเขาเต็มๆ โดยผู้จัดการโมเต็ลแห่งหนึ่งในแอล เอ เธอให้การว่าเป็นการยิงเพื่อป้องกันตัวเนื่องจากแซมบุกรุกเข้ามาในออฟฟิศและตรงเข้าทำร้ายเธอ
แน่นอนศาลตัดสินว่าเป็น justifiable homicide คือการฆ่าคนโดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ปมการตายของเขา ก็ยังคงเป็นปมในใจแฟนเพลงทั่วโลกอยู่ดี
อนึ่งหลังการตาย แซมยังมีเพลงฮิทตามหลังมาอีก หนึ่งในนั้นคือ “A Change Is Gonna Come” ว่ากันว่าเป็นเพลงแนวขบถที่ได้รับชื่นชมการยกย่องว่าเป็นผลงานการประพันธ์ที่ถือว่าเยี่ยมยอดที่สุดแล้วของ แซม คุก
ขอรำลึกดาวดวงนี้ ด้วยบทเพลงนี้อีกครั้ง
///////////////////
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Sam_Cooke
ข่าวที่เกี่ยวข้อง