วันนี้ในอดีต

สิ้น "หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ" พระผู้ยืนบริกรรมคาถาหน้าระเบิด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

หลวงพ่ออี๋ท่านก็บอกให้พระที่นั่งเฝ้าพยาบาลแวดล้อมท่านอยู่ ช่วยประคองให้ท่านลุกขึ้นนั่ง แล้วสั่งไม่ให้ทุกคนแตะต้องตัวท่าน เสร็จแล้วท่านก็นั่งสมาธิตัวตรง

          หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ว่าตรงกันว่า ท่านเป็นที่พึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8 ของไทย ที่มีเรือ่งเล่าถึงอิทธิปาฏิหาริย์ของท่าน ว่าหลวงพ่ออี๋ยกผ้าเหลืองโบกไปโบกมา พร้อมทั้งยืนบริกรรมพระคาถาอย่างสงบนิ่ง ลูกระเบิดที่หย่อนมาจากเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรหมายถล่มตลาดและฐานทัพเรือให้ราบเป็นจุล กลับเบี่ยงเบนปลิวไปตกในทะเลจนหมดสิ้น ไม่อาจทำลายฐานทัพเรือและชีวิตของประชาชนชาวอำเภอสัตหีบได้

 สิ้น "หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ"  พระผู้ยืนบริกรรมคาถาหน้าระเบิด

         นับแต่นั้นมาหลวงพ่ออี๋จึงได้รับการกล่าวนามถึงในความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ช่วยรักษาชีวิตให้รอดปลอดภัยกันถ้วนหน้า

         และวันนี้เมื่อ 72 ปีก่อน หรือตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2489 ท่านได้มรณภาพจากไปในท่านั่งสมาธิ!!

         สำหรับ ประวัติ พระวรเวทมุนี (หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร) หรือปรากฏรนามที่รู้ทั่วๆไปว่า หลวงพ่ออี๋ เพราะท่านชื่อ “อี๋” มาตั้งแต่แรก ส่วนนามสกุลคือ “ทองขำ”

         ท่านเกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2408 ตรากับวันอาทิตย์ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นบุตรของ นายขำ และนางเอียง ทองขำ ที่บ้านตำบลสัตหีบ กิ่งอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี บิดาของท่านรับราชการ ตำแหน่งที่ชาวบ้านในสมัยนั้นเรียกว่า “นายกอง”

         เมื่ออายุได้ 25 ปี ท่านได้อุปสมบท ณ วัดอ่างศิลานอก (ซึ่งปัจจุบันได้ยุบรวมเป็นวัดอ่างศิลาเดียววัดเดียว) โดยมี พระอุปัชฌาย์ คือ พระอุปัชฌาย์จั่น จนฺทสโร วัดเสม็ด, พระกรรมวาจารจารย์ พระอาจารย์ทิม, พระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์แดง โดยพระอุปัชฌาย์ได้ฉายาให้ว่า “พุทฺธสโร”  แปลว่า “ผู้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า”

         ท่านได้อยู่ศึกษาธรรมมะและเวทมนตร์ต่างๆ กับพระอาจารย์แดงถึง 6 พรรษา ก่อนไปฝากตัวเป็นศิษย์กับ “หลวงพ่อปาน” วัดคลองด่าน ซึ่งช่วงนั้นมีชื่อเสียงมาก และท่านยังได้ออกธุดงควัตรไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย เมื่อบังเกิดความกล้าแข็งทางจิต สัมฤทธิ์ในธรรมแล้ว จึงเดินทางกับมาสร้างวัดสัตหับขึ้น ใช้เวลาเพียง 5 ปีจึงสมบูรณ์ ท่านได้ใช้วิชาอาคมอันแก่กล้ามาสร้างและปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ มาแจกกับศิษยานุศิษย์ โดยเฉพาะปลัดขิกนั้นโด่งดังที่สุดในเมืองไทย เป็นที่เลื่องลือในคุณวิเศษมาจนถึงทุกวันนี้

 สิ้น "หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ"  พระผู้ยืนบริกรรมคาถาหน้าระเบิด

         สำหรับศิษย์ผู้ที่ทำหน้าที่ช่วยหลวงพ่ออี๋ลงอักขระ และสืบทอดวิชาทำปลัดขิกได้แก่ อาจารย์บรรจบ (น้องชายแท้ๆ หลวงพ่ออี๋), หลวงตาจำเนียร สุขรุ่ง วัดสัตหีบ, หลวงพ่อหงุ่น วัดสัตหีบ, อาจารย์มั่น กิโล 10 นั้นคือรายนามศิษย์ที่อาศัยอยู่ภายในอารามเดียวกับหลวงพ่ออี๋

         ส่วนศิษย์ที่มาขอเรียนวิชากับท่าน และออกไปทำปลัดขิกจนมีชื่อเสียงในเวลาต่อมา คือ หลวงพ่อทองอยู่ จนฺทสาโร วัดบางเสร่คงคาราม จ.ชลบุรี (หลวงพ่อรูปนี้สามารถทดลองวิชาทำปลัดขิกแล้วนำไปทิ้งในทะเล แล้วอธิษฐานให้ลอยทวนน้ำขึ้นไปหาหลวงพ่ออี๋ พระอาจารย์ของท่านมาแล้ว สำหรับหลวงพ่อทองอยู่นั้นหลวงพ่ออี๋ท่านชื่นชมมาก) หลวงพ่อลั้ง วัดอัมพาราม จ.ชลบุรี, หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง จ.นนทบุรี, หลวงพ่อเปี่ยม วัดทุ่งเหียง จ.ชลบุรี, หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่, หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ จ.ชลบุรี และรูปสุดท้ายที่ได้วิชาในช่วงท้ายของอายุของของหลวงพ่ออี๋ คือ หลวงพ่อชม วัดโป่ง จ.ชลบุรี

         ในด้านงานปกครอง พ.ศ. 2467 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลสัตหีบ, พ.ศ. 2467 เป็นพระอุปัชฌาย์, พ.ศ. 2484 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะแขวงกิ่งอำเภอสัตหีบ

         และสมณศักดิ์ พ.ศ. 2484 ได้รับพระพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรในราชทินนามที่ “พระครูวรเวทมุนี”

         ข้อมูลจาก อ.ราม วัชรประดิษฐ์ ระบุว่า ในวัยเด็กนับเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาดเกินวัย และมีน้ำใจงามชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เป็นนิจ หลวงพ่ออี๋ ได้สร้างพระเครื่องรางต่างๆ ไว้มากมาย ทั้ง ปลัดขิก ตะกรุด เสื้อยันต์ เหรียญพระปิดตา “พระสาม” และ “พระสี่” (พรหมสี่หน้า) ซึ่งล้วนสร้างประสบการณ์เป็นที่ปรากฏเลื่องลือ ในด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ค้าขาย และ เมตตามหานิยม ครบครัน สำหรับ ปลัดขิก นั้น เรียกว่ามีชื่อเสียงพอๆ กับหลวงพ่อเหลือ แปดริ้ว ทีเดียว แต่ที่ขึ้นอันดับยอดนิยมต้องยกให้ “เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก ปี 2473”

         ในที่สุด ท่านหลวงพ่ออี๋เริ่มอาพาธด้วยโรคฝีที่คอ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2489 แต่ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจรักษานัก ท่านเคยปรารภว่ามันจะมาเอาชีวิตท่าน คงใช้แต่ยาของท่านเองบ้าง ปิดบ้าง พอกบ้าง ใช้น้ำมนต์บ้าง เรื่อยมาและไม่หยุดการรับนิมนต์ในที่ใด ๆ ทั้งสิ้น โรคฝีได้กำเริบขึ้นเป็นลำดับมา จนเข้าพรรษาแล้ว พิษของฝีจึงแสดงอาการให้ต้องพักทำวัตรสวดมนต์

         กำลังของท่านเริ่มลดลง หัวฝีเล็ก ๆ ใต้คางด้านขวาก็เริ่มบวมมากขึ้น มีผู้ห่วงใยแนะนำท่านให้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดเสีย ท่านก็บอกว่า

         “ช่างมันเถอะ เป็นกรรมเก่าของฉัน เจ้ากวางหนองไก่เตี้ย มันมาตามทวงหนี้แล้ว”

         เพราะท่านเคยบอกคนใกล้ชิดว่าชาติก่อนเคยไปยิงกวางตัวหนึ่งที่หนองไก่เตี้ย ถูกที่ซอกคอตาย กรรมนั้น จึงตามมาให้ผลแล้ว ท่านก็คิดว่าเป็นกรรมเก่า อยากจะชำระหนี้ให้เสร็จเสียที จึงไม่ได้สนใจรักษาทางแพทย์ปัจจุบัน แม้โรงพยาบาลก็ไม่ได้พูดถึง จนถึงเวลาที่ฝีสุกแก่จัด และโตขึ้นมาก จึงทวีความรุนแรงมากยิ่ง ทำให้กำลังร่วงโรยประกอบกับเข้าสู่วัยชราภาพมาก

 สิ้น "หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ"  พระผู้ยืนบริกรรมคาถาหน้าระเบิด

         แล้วพอถึงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2489 ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีจอ เวลา 20.35 น. หลวงพ่ออี๋ท่านก็บอกให้พระที่นั่งเฝ้าพยาบาลแวดล้อมท่านอยู่ ช่วยประคองให้ท่านลุกขึ้นนั่ง แล้วสั่งไม่ให้ทุกคนแตะต้องตัวท่าน เสร็จแล้วท่านก็นั่งสมาธิตัวตรง เริ่มเข้าสมาธิ

         ชั่วครู่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง ทำให้ทุกคนตกใจกันสุดขีดคือ ไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ซึ่งตั้งพิงฝาผนังภายในกุฏิและตั้งอย่างนั้นมานานแล้ว ก็ล้มโครมลงมาฟาดกับพื้น และกระจกแผ่นหนึ่งที่ติดกับบานประตูตู้ ห่างจากไม้กระดานหลายเมตร ก็กระเด็นหลุดออกมาแตกกระจายทั่วพื้น

         ทั้งพระและลูกศิษย์วัดที่คอยนั่งเฝ้าพยาบาลแวดล้อมท่านอยู่ตกใจมาก พอหายตกใจได้สติก็หันมาดูหลวงพ่ออี๋ ซึ่งตรงกับเวลา 21.05 น. ท่านก็นั่งสงบปราศจากลมหายใจเข้าออกเสียแล้ว ข่าวการการมรณภาพก็กระจายไปทั่วกิ่งอำเภอสัตหีบอย่างรวดเร็ว

         สิริรวมอายุของท่านได้ 82 ปี หลวงพ่อ แต่คนไทยสัมผัสได้ว่าท่านยังอยู่ เพราะบารมีของท่านยังปรากฏอยู่อย่างชัดเจนตราบเท่าทุกวันนี้

////

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก

วิกิพีเดีย

www.dharma-gateway.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ