หลังทรงหย่าร้างจากกันแล้ว เหมือนว่า สงครามแห่งเวลส์จะยังไม่จบ ว่าแต่สงครามแห่งเวลส์ คืออะไรกันแน่?
“จบแล้วละคร จากนี้คือตอน ที่เราสองต้องเดินแยกทาง เพราะไม่เป็นอย่างหวัง ไม่ได้เหมือนที่เราต้องการ สิ่งที่เราเป็น มันเหมือนปลอมปลอม”
ตอนหนึ่งของบทเพลง “ละคร” ก็เหมือนกับชีวิตของคนหลายๆ คนบนโลกใบนี้ ที่ต้องพานพบกับความรักที่ล่มสลาย ไม่เว้นสูงต่ำ ดำขาว หรือ ชนชั้น ชาติพันธุ์
เฉกเช่นความรักของคู่รักบันลือโลก เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และเจ้าหญิงไดอาน่า ที่ตอนเริ่มต้นทุกอย่างช่างสวยหรู เลอเลิศ ราวกับนิทานคลาสสิก
พระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์งดงาม ณ มหาวิหารเซ้นท์ปอล ต่อหน้าแขก 3,500 คน และผู้ชมทั่วโลก เป็นความฝันของหญิงสาวทั่วโลก เมื่อเจ้าหญิงและเจ้าชายได้ครองคู่กับตราบชั่วฟ้าดินสลาย
แต่ชีวิตจริงไม่เป็นเช่นนั้น...และวันนี้เมื่อ 22 ปีก่อน คือวันที่ทั้งสองพระองค์ได้ตัดสินใจหย่าขาดจากความเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ดี หลายคนมองว่า การหย่าขาดจากกันหลังครองรักถึง 15 ปี นั้น ช่างน่าใจหาย แต่ที่จริงแล้ว ทุกคนจะใจหายมากกว่านั้น เมื่อได้รู้ว่า ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะจรดปากกาและเซ็นพระนามลงใบสำคัญการหย่านั้นทัั้งคู่ได้หมดรัก หมดสัมพันธ์และแยกกันอยู่กันมาก่อนหน้านั้นตั้งแต่ช่วงปี 2530 แล้ว
ซึ่งถ้านับห้วงเวลาจากวันที่ทรงมีพระราชพิธีอภิเษกสมรส ในวันที่ 29 ก.ค.2524 จนถึงวันที่ทรงแยกกันอยู่ ก็นับเป็นเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น ดังที่ภาษาชาวบ้านถิ่นสยามเรียกว่า ก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำ และนั่นก็อาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามแห่งเวลส์”
สำหรับ คำว่า “สงครามแห่งเวลส์” นั้น เป็นชื่อที่สื่อมวลชนใช้เรียกขานความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ โดยชื่อนี้ได้รับแรงบันดาลใจมากจากชื่อสงคราม ซึ่งพระราชวงศ์ยอร์คและพระราชวงศ์กลอสเตอร์ได้รบกันเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์อังกฤษคือ สงครามกุหลาบ
กล่าวตรงกันว่า ก่อนจะถึงสงครามแห่งเวลส์ นั้น ทั้งเจ้าหญิงไดอาน่าและพระสวามี ต่างอยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วโลกตลอดเวลา เรียกได้ว่า ทุกพระอิริยาบถ ทุกความเคลื่อนไหว โดยเฉพาะฝ่ายเจ้าหญิงผู้เลอโฉมนั้น พูดง่ายๆ ว่าเสื้อผ้าหน้าผม ทุกอย่างเป็นที่ติดตามจากคนทั่วโลก
ว่ากันสาเหตุที่ทรงมีปัญหาชีวิตคู่ เนื่องจากในระยะแรกเจ้าหญิงไม่สามารถทรงปรับพระองค์ ให้เข้ากับชีวิตของความเป็นเจ้าฟ้าหญิงได้ แต่ยังไงก็ตาม เมื่ออภิเษกสมรสแล้ว ทั้งสองพระองค์ก็ได้ประทับใช้ชีวิตสามาภรรยาอยู่ที่พระราชวังเคนซิงตัน
จนกระทั่งมีข่าวดีเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2524 หรือเพียงไม่กี่เดือนหลังอภิเษกสมรส สำนักพระราชวังแถลงข่าวเรื่องเจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงตั้งพระครรภ์
ผ่านไปจนถึงวันที่ 21 มิ.ย.2525 เจ้าหญิงไดอานามีพระประสูติกาลพระโอรสองค์แรก เจ้าชายวิลเลียม อาร์เธอร์ ฟิลิป หลุยส์ ณ อาคารลินโดวิง โรงพยาบาลเซนต์แมรี เขตแพดดิงตัน กรุงลอนดอน
ต่อมา เจ้าหญิงไดอาน่าก็มีพระประสูติกาลพระโอรสองค์ที่สอง คือ เจ้าชายแฮร์รี ชาลส์ อัลเบิร์ต เดวิด เมื่อวันเสาร์ที่ 15 มิ.ย. 2527
แน่นอนในสายตาคนทั่วไป มองเห็นแต่ภาพความสุข แต่ในวงในและสื่อมวลชนอังกฤษ เริ่มรับรู้ถึงความไม่ปกติของความรักของทั้งสองพระองค์แล้ว และคำว่า “สงครามแห่งเวลส์” ก็เกิดขึ้น
เช่นว่า ข่าวลือว่าเกี่ยวกับสัมพันธ์ลับระหว่างเจ้าหญิงไดอาน่ากับ เจมส์ ฮิววิตต์ ครูสอนขี่ม้า ที่ลากยาวมาเป้นข่าวซุบซิบว่า เจ้าชายชาลส์มิใช่พระบิดาที่แท้จริงของเจ้าชายแฮร์รี แต่ภายหลังมีหลักฐานหลายชิ้นออกมาหักล้างข่าวลือนี้ ที่ยืนยันว่าเจ้าหญิงมีพระประสูติกาลเจ้าชายแฮร์รีก่อนที่จะทรงมีสัมพันธ์กับฮิววิตต์
หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในวัง ที่นำมาสู่ความไม่เข้าพระทัยระหว่างสองพระองค์ เช่นว่า เจ้าหญิงไดอานามักพาพระโอรสออกนอกเขตพระราชฐานเพื่อท่องเที่ยวและเยี่ยมชมตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองอย่างเช่นสามัญชน,
ภาพจาก http://laveandrea.blogspot.com/2011/04/in-memory-of-princess-diana.html
เจ้าหญิงทรงไม่ยอมอ่อนข้อต่อพระสวามีและราชสำนักในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระโอรส เจ้าหญิงทรงตั้งชื่อแรกของพระโอรสทั้งสองด้วยพระองค์เอง และทรงฝ่าฝืนธรรมเนียมปฏิบัติในราชสำนักหลายอย่าง
เช่น ไม่โปรดให้มีพระพี่เลี้ยงสำหรับพระโอรสทั้งสอง ทรงเลือกโรงเรียน เครื่องแต่งกาย วางแผนกิจกรรมต่างๆ หากตารางเวลางานของพระองค์เอื้ออำนวย เจ้าหญิงจะทรงขับรถยนต์ไปส่งพระโอรสที่โรงเรียนด้วยพระองค์เอง
นอกจากนี้ยังทรงกำหนดเวลาประกอบพระกรณียกิจของพระองค์ให้อยู่ภายในช่วงเดียวกันกับเวลาเรียนของพระโอรส
หลายคนกล่าวว่า ถ้าเป็นชาวบ้าน ก็เข้าลักษณะเดียวกับลูกสะไภ้ที่ไม่ยอมทำตามกฎของบ้านฝ่ายสามี รวมไปถึงช่องว่างระหว่างวัยที่อายุห่างกันมากถึง 13 ปี
จนกระทั่งทุกอย่างน่าจะส่อเค้าลางแตกหัก เมื่อฝ่ายเจ้าหญิงเริ่มคลางแคลงใจในความสัมพันธ์ของพระสวามีกับคนรักเก่า หรือ คามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์
กว่าที่คนทั่วไปจะรู้พร้อมๆ กันว่า ชีวิตคู่ของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ได้ล่มสลายลงแล้ว ก็ช่วงปี 2533 เพราะในตอนแรกทั้งสองพระองค์ได้พยายามปิดบังปัญหานี้มาตลอด
โดยทรงแยกกันอยู่ตั้งแต่ปี 2530 เนื่องจากช่วงต้นปี 2528 สิ่งที่เจ้าหญิงไดอาน่าทรงกลัว เกิดเป็นจริงขึ้นมา เมื่อเจ้าชายชาลส์กลับไปสานความสัมพันธ์กับ คามิลลา พาร์กเกอร์ โบลส์ อดีตคนรักเก่าที่แต่งงานแล้ว
ถึงที่สุดแล้ว ไม่เพียงสื่อมวลชนที่ทั้งคุ้ยแคะแกะเกา แต่ทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิง เองก็ทรงกล่าวโทษกันและกันว่าเป็นตัวทำลายชีวิตคู่ผ่านการให้ข่าวแก่นักข่าวหนังสือพิมพ์และพระสหาย
ข่าวคราวฉาวของคนทั้งคู่ ในสงครามแห่งเวลส์กระฉ่อนไปทั่วและเกิดขึ้นไม่หยุด
จนกระทั่งจุดแตกกหักที่นำมาสู่การหย่าร้างก็เกิดขึ้น เมื่อ มาร์ติน บาชีร์ ได้รับพระอนุญาตจากเจ้าหญิงแห่งเวลส์เพื่อขอสัมภาษณ์พระองค์ในรายการ พาโนรามา ซึ่งนำเสนอเรื่องราวเหตุการณ์ที่กำลังอยู่ในกระแส
อ่าน https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/302778
โดยเมื่อเทปการสัมภาษณ์เจ้าหญิงออกอากาศเมื่อ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ซึ่งในรายการนั้น พระองค์ทรงตรัสถึงเจมส์ ฮิววิตต์ว่า
"ใช่ ฉันเคยหลงรักเขา ใช่ฉันเคยหลงรักเขา แต่เขาทำให้ฉันเสียหายอย่างที่สุด”
และยังทรงตรัสถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายชาลส์กับนางคามิลลาว่า
“มีคนสามคนในชีวิตคู่และเรารู้สึกอึดอัด”
และทรงตรัสถึงพระองค์ในอนาคตว่า “ฉันปรารถนาที่จะเป็นราชินีในใจของประชาชน”
และทรงแสดงความกังวลต่อความเหมาะสมในการขึ้นครองราชย์ของพระสวามีว่า “หน้าที่ [ในฐานะประมุข] เป็นภารกิจสำคัญอย่างยิ่ง และมาพร้อมกับกฎเกณฑ์ต่างๆ มากมาย และฉันไม่รู้ว่าเจ้าชายจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับตำแหน่งพระประมุขได้หรือไม่”
เครดิต สำนักข่าว BBC
ที่สุดวันที่ 20 ธ.ค. 2538 สำนักพระราชวังบักกิงแฮมออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ทรงแนะนำให้พระโอรสและพระสุณิสาทรงหย่าขาดกัน
โดยมีนายกรัฐมนตรี คณะองคมนตรีอาวุโส และสถานีโทรทัศน์ BBC เป็นผู้สนับสนุนสมเด็จพระราชินีให้ทรงออกมาชี้ขาดเรื่องนี้ หลังได้ปรึกษาหารือมานานกว่าสองสัปดาห์
และงานนี้ หลายคนถึงกับอึ้ง!! เมื่อทางด้านของเจ้าชายชาร์ลส์ ที่ได้ตอบตกลงทันที ขณะที่ฟากของเจ้าหญิงเองได้ใช้เวลาคิดถึง 2 เดือน!
จนมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2539 เจ้าหญิงไดอานาได้ทรงตอบตกลงหย่าในที่สุด หลังจากได้เจรจากับเจ้าชายชาร์ลส์และตัวแทนของสมเด็จพระราชินี
ที่สุดวันที่ 28 ส.ค. 2539 การหย่าร้างมีผลสมบูรณ์
อย่างไรก็ดีหลังทรงหย่าร้างจากกันแล้ว เหมือนว่า สงครามแห่งเวลส์จะยังไม่จบ ทั้งเรื่องที่ว่า เจ้าหญิงไดอานาจะต้องสูญเสียฐานันดรศักดิ์ชั้นเจ้าฟ้า (Her Royal Highness) เนื่องจากมิได้เป็นเจ้าหญิงพระชายาในเจ้าชายแห่งเวลส์อีกต่อไป
แต่ก็มีการรายงานเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระราชินีนาถทรงตัดสินพระทัยให้คงไว้ซึ่งพระอิสริยศ “เจ้าหญิงแห่งเวลส์” ท้ายพระนามของหลังการหย่าร้าง แต่เจ้าชายชาร์ลส์ทรงคัดค้านและเรียกร้องให้ริบคืนพระอิสริยศดังกล่าวจากอดีตพระชายา เนื่องจากเป็นพระมารดาของเจ้าชายวิลเลียม ผู้ซึ่งเป็นรัชทายาทอันดับสองและมีความเป็นไปได้ที่จะได้ทรงขึ้นครองราชย์ในภายภาคหน้า จึงมีความเห็นพ้องกันภายในราชสำนักว่า หลังทรงหย่าร้าง ควรให้ไดอานาดำรงพระอิสริยศเช่นเดียวกับที่ทรงเคยได้รับระหว่างการเป็นพระชายาในเจ้าชายแห่งเวลส์
ว่ากันว่างานนี้ เจ้าชายวิลเลียม ในวัยเพียง 14 เคยตรัสปลอบใจพระมารดาครั้งหนึ่งว่า
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมจะคืนยศให้แม่เองในวันที่ผมได้เป็นพระราชา”
'Don't worry Mummy, I will give it back to you one day when I am king," (ข่าวจาก https://www.newidea.com.au/prince-william-promise-to-mother-diana)
หรือเรื่องราวอื่นๆ หลังจากนั้นที่ดูเหมือนว่า สงครามในชีวิตของเจ้าหญิงแห่งเวลส์จะไม่เคยจบลง แม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ตาม
แม้กระทั่งวันนี้ เราก็ยังคงหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง ด้วยรำลึกถึงกุหลาบแสนสวยแห่งอังกฤษพระองค์นี้
////////////
ขอบคุณข้อมูลจาก
วิกิพีเดีย
https://www.newidea.com.au/prince-william-promise-to-mother-diana
ข่าวที่เกี่ยวข้อง