วันนี้ในอดีต

จากฝูงชนบ้าคลั่งดั่งราชา สู่วาระสุดท้ายตายคนเดียว

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คุณหมอนิกประกาศว่า "Elvis had left the building" ซึ่งเป็นประโยคที่ใช้กันเวลาจบคอนเสิร์ทของเอลวิส ซึ่งครั้งนี้ คงมีความหมายว่า เขาได้จากพวกเราไปแล้ว!

          วันนี้ขณะที่คอเพลงลูกทุ่งชาวไทยด้านหนึ่ง กำลังไว้อาลัยให้กับการจากไปของ สุรพล สมบัติเจริญ ราชาลูกทุ่งไทย ที่ถูกลอบยิงเสียชีวิตอยา่งปริศนาในวันนี้เมื่อ 50 ปีก่อน

          แต่วันเดียวกันนี้ในอีก 9 ปีถัดมา หรือวันนี้ของ 41 ปีก่อน คือวันที่ราชาเพลงร็อคแอนด์โรลระดับโลก อย่าง "เอลวิส เพรสลีย์" ได้หมดลมหายใจอย่างโดดเดี่ยวอยู่หลายชั่วโมงก่อนที่จะมีคนไปพบ ภายในห้องน้ำในบ้านพักของเขาเอง

 จากฝูงชนบ้าคลั่งดั่งราชา สู่วาระสุดท้ายตายคนเดียว

ภพาจากภาพยนตร์เรื่อง Jailhouse Rock ปี 1957 (เครดิต วิกิพีเดีย)

          อดทำให้ใจหายและเศร้าสลดไม่ได้ เมื่อพบว่า คนที่เคยดังทะลุฟ้า ชนิดหลอมละลายหัวใจคนทั้งโลก อย่าง “เอลวิส” ผู้นี้ ทำไมถึงพบกับจุดจบอันน่าสะเทือนใจแบบนี้

          และนับจากนั้นมา เรื่องราวชีวิตของเขา ก็ถูกบรรจุไว้ในตำนานคนดังระดับโลกที่จะไม่มีเลือนลางไปจากโลกใบนี้ ไม่เว้นแม้แต่ลูกหลานของเขา ที่ทุกวันนี้ก็ยังมีข่าวคราวปรากฏตามหน้าสื่ออยู่เป็นระยะ และโดยมากเป็นข่าวไม่สู้ดีนัก หลายคนตัดพ้อว่าเป็นมรดกของผู้พ่อที่ทิ้งไว้ให้อย่างยากจะอธิบายความรู้สึก

          หากแต่หลายคนคิดตรงข้าม เพราะมรดกของเอลวิส คือ ใบหน้าสุดหล่อ และรอยยิ้มสุดคลาสสิก กับผลงานอีกมากมานนับไม่ถ้วน ทั้งเพลงฮิตเพลงแรกของเขาอย่าง “Heartbreak Hotel” ที่ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในเดือนเมษายน 1956 และผลงานภาพยนตร์ัอย่างเรื่อง “Love Me Tender” ได้สร้างความสุขให้กับคนทั่วโลก

          สำหรับประวัติของเขาเล่าโดยสังเขป เอลวิส เพรสลีย์ เกิดเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 1935 หรือปี พ.ศ. 2478 ณ เมือง ทูเพอโล มลรัฐมิสซิสซิปปี้ สหรัฐอเมริกา มีชื่อจริงว่า เอลวิส แอรอน เพรสลีย์

          เอลวิสหลงใหลการร้องเพลง เขาเริ่มเข้าประกวดร้องเพลงเมื่ออายุเพียง 10 ขวบ ในงาน Mississippi– Fair  โดยได้รับอิทธิพลแนวทางการร้องมาจากการร่วมกิจกรรมในโบสถ์ และบรรดานักร้องเพลงบลูส์ผิวสีในละแวกบ้าน

 จากฝูงชนบ้าคลั่งดั่งราชา สู่วาระสุดท้ายตายคนเดียว

เอลวิส และ พ่อกับแม่ของเขา "เวอร์นอน" และ "แกลดี้ส์ เพรสลีย์"

          ช่วงวัย 13 ครอบครัวมีอันต้องย้ายไปอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี ต่อมาในปี 2496 เอลวิสในวัย 18 ไปเป็นคนงานในร้านขายเคร่ื่องมือช่าง "Parker Machinists Shop" แะได้เข้าอัดเสียงเพลง ที่ Memphis Recording Service เพื่อนำเพลงนี้ไปมอบเป็นของขวัญย้อนหลังให้แม่ของเขา โดยเพลงนั้น คือ “My Happiness” และ “That's When Your Heartaches Begin”

          ราวกับละคร หรือ ลิขิตฟ้า ขณะนั้น แซม ฟิลลิปส์ เจ้าของร้านและเจ้าของบริษัทแผ่นเสียง “SUN” กำลังเฟ้นหาหนุ่มผิวขาว ที่สามารถร้องเพลงอาร์แอนด์บีได้ ในที่สุดเขาก็มาพบกับ “เอลวิส”

 จากฝูงชนบ้าคลั่งดั่งราชา สู่วาระสุดท้ายตายคนเดียว

บ้านเกิดของเพรสลีย์ ที่เมืองทูเพอโล รัฐมิสซิสซิปปี (ภาพจากวิกิพีเดีย)

          ที่สุด เอลวิสได้เข้าสังกัด Sun Records และฟอร์มวง “Million Dollar Quartet” วงดนตรีสี่คนขึ้น คือ นอกจากเขาเองแล้ว ยังมี Jerry Lee Lewis, Carl Perkins และJohnny Cash

          ช่วง 2498 เอลวิสในวัย 20 ได้อัดเพลง 5 เพลง กับ Sun Records และเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ ในแถบทางใต้

          ต่อมาโชคดี เอลวิสได้มือดีมาทำประชาสัมพันธ์ให้ คือ “ทอม ปาร์คเกอร์” ปรากฏว่าหลังจากปาร์คเกอร์ปล่อยโฆษณาของเอวิส วงเขาก็ดังกระฉ่อนไปทั่วอเมริกา จนได้เซ็นสัญญากับบริษัท RCA ในปีเดียวกันนั้นเอง โดยแผ่นเสียงแผ่นแรกของเอสวิส ที่มียอดขายเกินกว่า 1 ล้านแผ่น

          ความดัง ชักนำเขาก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ในปี 2499 เอลวิสแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือ “Love Me Tender” ถึงนาทีนั้น ความดังของเอลวิสก็พุ่งทะยานสุดขีดจนยากที่ใครจะฉุดเขาลงมาได้อีกแล้ว

          และแม้ขณะที่เขาอำลาวงการ เพื่อไปเป็นทหารเกณฑ์ ช่วงปี 2501 เข้ารับราชการเป็นพลขับของกองทัพบก ประจำการในหน่วยยานเกราะที่ประเทศเยอรมนี

 จากฝูงชนบ้าคลั่งดั่งราชา สู่วาระสุดท้ายตายคนเดียว

เพรสลีย์สาบานตนเข้ารับการเกณฑ์ทหารในกองทัพสหรัฐฯ ที่พอร์ตแชฟฟี รัฐอาร์คันซอเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ.1958 (ภาพจากวิกิพีเดีย)

          จนผ่านมา 2 ปี หลังจากปลดประจำการ การกลับเข้าสู่วงการของเอลวิส ก็ยังคงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

          อัลบั้มเพลงในภาพยนตร์เรื่อง GI Blues ขึ้นแท่นสู่อันดับ 1 ของบิลบอร์ด ครองอันดับหนึ่งเป็นเวลานานถึง 10 สัปดาห์ติดต่อกัน และช่วงเวลานับจากนี้ไปเกือบ 10 ปี เป็นช่วงที่เอลวิสประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด หยิบจับอะไรก็ดังทะลุปรอท โกยทั้งเงิน ชื่อเสียง และความรักจากคนทั่วโลก

          ต่อมาในปี 2510 เอลวิสได้ออกอัลบั้มเพลงกอสเปล ชุดที่สองซึ่งมีชื่อว่า How Great Thou Art และอัลบั้มนี้เองที่ทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมี่เป็นครั้งแรก!

          ผ่านไปไม่กี่ปี ราวปี 2516 น่าแปลกใจที่วัยเพียง 38 เอลวิสเริ่มประสบปัญหาเรื่องสุขภาพหลายอย่าง เช่น ปอดบวม โรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ลำไส้ใหญ่อักเสบ ทั้งยั้งต้องเผชิยกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังตระเวนเปิดการแสดง ให้แฟนเพลงได้ชื่นชมผลงานอยู่เสมอ

          และแล้ววันที่ 16 ส.ค. 2520 หลังจากที่เอลวิสไปหาทันตแพทย์ในตอนเช้า และกลับมาบ้าน หรือ คฤหาสน์เกรสแลนด์ แฟนสาวของเอลวิส ก็พบตัวเขาที่พื้นในห้องน้ำ ในสภาพที่เสียชีวิตไปแล้ว

          แน่นอนที่ข่าวการตายของเอลวิส ช็อกแฟนเพลงทั่วโลก เพราะนี่คือการจากไปอย่างกะทันหันไม่ทันที่ใครจะคาดคิด

          หากแต่หลายคนกลับไม่แปลกใจที่เอลวิสจะพบจุดจบเช่นนี้ เพราะว่ากันว่านอกจากการทำงานอย่างไม่หยุดพักตลอดระยะเวลาที่เขาเริ่มมีชื่อเสียง จนทำให้ส่งผลต้อสุขภาพตามข้างต้น

          โดยในช่วงสองปีสุดท้ายของชีวิต เอลวิสจำเป็นต้องใช้ยาจำนวนมากทั้งชนิดและปริมาณ ในการรับมือกับปัญหาสุขภาพทั้งทางกายและใจของเขา

          โดยเฉพาะปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว ที่น่าจะส่งผลทั้งกายและใจของเขาอย่างหนัก ว่ากันว่าเขาเคยกินเบอร์เกอร์ทีเดียวสามชิ้น ตามด้วยไอศกรีมอีกหลายถ้วยระหว่างนั่งดูโทรทศัน์ หลังจากนั้นก็จะอดอาหารไม่กินอะไรไปอีกหลายวัน

 จากฝูงชนบ้าคลั่งดั่งราชา สู่วาระสุดท้ายตายคนเดียว

Graceland, บ้านของเอลวิส

          บทความจากเดลินิวส์ ช่วงวันที่ 20 ส.ค.2520 เขียนบรรยายถึงชีวิตของเอลวิส ไว้อย่างน่าสะเทือนใจว่า

          "ชีวิตของเขาในเกรซแลนด์ (ชื่อบ้านของเขา) ล้อมรอบด้วยสมุนของเขาที่เรียกกันเท่ๆว่าเมมฟิสมาเฟียมากมาย อีกทั้งญาติพี่น้องอีกจำนวนหนึ่ง แต่มันก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่คนเดียว ไม่มีใครกล้าที่จะเตือนเขาจริงจัง (หรือว่าเขาอาจจะไม่เชื่อ) ทุกคนพยายามเบือนหน้าหนีจากความจริง"

          "ทุกคนหวังว่าเอลวิสจะกลับมาเป็นเอลวิสคนเดิมที่ผอมเพรียวได้อีกครั้ง เหมือนกับที่เขาทำมาได้หลายครั้งในอดีต บางคนยังเคยเล่าว่า บางทีก็เห็นเขาอ้วนเผละอยู่ไม่กี่วันก่อน แต่พอโผล่มาเล่นคอนเสิร์ทอีกที กลับดูฟิตปั๋ง ราวกับเขาวิ่งเข้าตู้โทรศัพท์แล้วเปลี่ยนชุดเป็นเอลวิสออกมาได้ง่ายๆ เหมือนซุปเปอร์แมน"

          "ปี 1975 (2518) มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาหยุดพักยาว และกลับมาอีกทีในสภาพที่ทุกคนตะลึง ด้วยผิวสีแทนและรูปร่างที่สลิมมาเลย แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ทำอย่างนั้นตลอด บางทีสิ่งที่เอลวิสขาดไปอาจจะแค่เพื่อนดีๆสักคนที่จะพูดในสิ่งที่เขาควรทำ และต้องเป็นคนที่เขาเชื่อ"

          หลายคนพูดตรงกันว่า การที่เอลวิส ยังคงออกทัวร์อย่างบ้าคลั่งถึง 9 ครั้ง เหนื่อยสายตัวแทบขาดในช่วง 2 ปีก่อนเสียชีวิต เพราะเขาต้องหาเงินมาเพื่อสนองการใช้ชีวิตอย่างกินหรูอยู่สบายของเขา และคนรอบข้าง

          ทั้งนี้ สำหรับชีวิตส่วนตัวของเขานั้น เอลวิสพบรักกับ พริสซิลลา โบลิยอ 7 ปีต่อมา ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2510 ขณะเอลวิสมีอายุ 32 ปี ในพิธีง่าย ๆ ในห้องสวีตที่โรงแรมอาละดินในลาสเวกัส พวกเขามีบุตรสาวด้วยกัน คือ “ลิซ่า มารี เพรสลี่ย์” ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2511 ที่ต่อมาได้สมรสกับราชาเพลงป๊อบ ไมเคิล แจ๊คสัน จนมีทายาทด้วยกัน 1 คนอีกด้วย

 จากฝูงชนบ้าคลั่งดั่งราชา สู่วาระสุดท้ายตายคนเดียว

ภาพจากวิกิพีเดีย

          อย่างไรก็ดี ที่สุดแล้วทั้งคู่ก็ได้หย่าขาดจากกันในปี 2516 และเอลวิสพบรักใหม่กับ “ลินดา ทอมสัน” และใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันจนกระทั่งปลายปี 2519 จากนั้นจึงมาคบหากับ “จิงเจอร์ อัลเดน” จนกระทั่งเสียชีวิตในที่สุด

          น่าแปลกที่มีคนพูดว่า การตายของเอลวิส กับ ราชาเพลงป๊อบ “ไมเคิล แจ็คสัน” (บุตรเขยของเขาเอง) มีส่วนเหมือนกันมาก นั่นคือ “การใช้ยา” โดยสำหรับเอลวิสแล้ว เขามีหมอคนดังชื่อ George Nichopoulos หรือ “หมอนิก” จะเป็นผู้จ่าย “ยาชุด” เป็นซองๆ ให้เอลวิส (ยาซองนี้มีชื่อเล่นว่า ‘attacks’) ในซองนึงก็จะมียาหลากหลายประเภทรวม มากสุดถึง 12 เม็ด

          จริงหรือไม่ยังไม่ยืนยัน มีคนว่ากันว่าใน 7 เดือนสุดท้ายของเอลวิสเทคยาพวกนี้ไปไม่ต่ำกว่า 5,000 เม็ด!!

          ว่ากันว่าก่อนตายไม่กีวัน เอลวิสได้บอกญาติและเพื่อนสนิทบางคนว่า เขาอยากจะปฏิวัติตัวเองให้กลับมาเป็นคนที่สมบูรณ์ดังเดิม

          แต่ความตั้งใจของเขา ไม่เป็นผล เพราะผ่านเที่ยงคืนไป เข้าสู่วันที่ 16 ส.ค. 2520 เอลวิสยังคงใช้ชีวิตอยู่จนถึงตี 4 เพื่อสังสรรค์กับลูกพี่ลูกน้อง และเล่น racquetball ในโรงยิม

          จากนั้นก็ไปนั่งเล่น-ร้องเปียโน สองเพลงซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายของเขาก็ว่าได้ เพลงนั้นคือ "I‘ll take you home again, Kathleen’ และอีกเพลงของวิลลี่ เนลสัน "Blue Eyes Crying In The Rain"

          มีข้อมูลเล่าว่า ช่วงหกโมงเช้า เอลวิสกลับห้องพร้อมกับคู่หมั้นของเขา "จิงเจอร์" เขากินยาชุดเข้าไปสองซอง แต่ไม่เป็นผลใดๆ ในทางที่เขาต้องการ เขาจึงโทรถึงคุณหมอนิก จนได้ซองที่สามมาในที่สุด

          เอลวิสเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับยาชุดสาม  หลังจากนั้น ไม่มีใครรู่ว่าเกิดอะไรขึ้น จนผ่านไปหลายชั่วโมง ข่าวระบุว่าจิงเจอร์ แฟนสาวเปิดประตูมาพบเขาในเวลาบ่ายสองครึ่ง และภาพที่เห็นคือ คนรักของเธอนอนแน่นิ่งบนพ้นห้องน้ำไปแล้ว

          แต่รายงานข่าวบรรยายว่า ก่อนล้มลงเอลวิสมีอาการชักอย่างรุนแรง และร่วงจากที่นั่งลงไปคุกเข่ากองกับพื้นห้องน้ำ อาเจียนพุ่งออกจากปากกระจายทั่วพรมสีเหลือง ก่อนจะหมดสติไป โดยที่พื้นมีร่องรอยของการกระเสือกกระสน เพราะพบเศษพรมเข้าไปอยู่ในปากของเขา

 จากฝูงชนบ้าคลั่งดั่งราชา สู่วาระสุดท้ายตายคนเดียว

          คนอื่นๆ พยายามจะปั๊มหัวใจ จนเมื่อรถพยาบาลมาถึง ก็ได้นคิงของพวกเขาไปที่โรงพยาบาล Baptist Memorial แต่ไม่ว่าจะมีความพยายามกู้ชีวิตของราชาร็อคแอนด์โรลอีกนานแค่ไหน ก็ไม่เป็นผล

          ว่ากันว่า คุณหมอนิกประกาศว่า "Elvis had left the building" ซึ่งเป็นประโยคที่ใช้กันเวลาจบคอนเสิร์ทของเอลวิส ซึ่งครั้งนี้ คงมีความหมายว่า เขาได้จากพวกเราไปแล้ว!

          ในความเศร้าโศกของผู้คนทั่วโลก แน่นอนว่ามีทฤษฎีออกมาอีกมากมายว่าเอลวิสตายจากอะไร แม้ว่าคำแถลงอย่างเป็นทางการคือ “หัวใจวาย-เต้นไม่เป็นจังหวะ” และเกี่ยวกับโรคทางหลอดเลือดและความดันโลหิตสูง

          บางคนเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรม หลายคนเชื่อว่าเพราะการใช้ยา  และบางคนก็อดคิดถึงการฆ่าตัวตายไม่ได้ ซึ่งหลายคนก็ออกมาอธิบายหักล้างกันไปตามเหตุผลของตนเอง

          แต่ไม่ว่าเขาจากไปเพราะอะไร มรดกที่เขาทิ้งไว้ให้ นอกจากผลงานอมตะหลากหลายแล้ว ยังอาจเป็นเรื่องราวของผู้ชายที่มีผู้หญิงเพียงสองคน ที่กำหัวใจของเขาไว้ได้ตลอดกาล หนึ่งคือแม่ของเขาเอง แกลดี้ส์ เพรสลีย์ ผู้ที่ซื้อกีตาร์ตัวแรกให้กับบุตรชายในวัย 11 ปี

          และสองคือบุตรสาวคนเดียวของเขา ลิซ่า มารี เพรสลี่ย์ ผู้รับมรดกหมื่นล้านของเขาไปทั้งหมด (โอกาสต่อไป อาจได้นำเรื่องราวของเธอมาเล่าสู่กันฟังสักครั้ง)

          และสุดท้ายก็คงเป็นเรื่องราวตำนานราชาเพลงร็อคแอนด์โรล ที่เรายังคงกล่าวขานถึงเขามาจวบจนทุกวันนี้ ของ “เดอะ คิง”

/////////////////

เครดิต

วิกิพีเดีย

https://manman-clip.blogspot.com/2011/08/elvis-presley.html

http://oknation.nationtv.tv/blog/adayinthelife/2007/08/16/entry-1

เดลินิวส์ 20 ส.ค.2520

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ