จะพูดว่าสองสตรีตามข้างต้น หรือผู้ที่ต่อมา กลายมาเป็นผู้นำประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เกิดในวันเดียวกันก็คงได้
วันนี้เมื่อ 65 ปีก่อน คือวันที่ เด็กหญิง เบนาซีร์ บุตโต ถือกำเนิดขึ้นในประเทศปากีสถาน หรือ "ดินแดนของชนบริสุทธิ์" ในภาษาอูรดูและภาษาเปอร์เซีย
ถัดจากนั้นอีก 14 ปี หรือวันนี้ของ 51 ปีก่อน เด็กหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ถือกำเนิดขึ้นมาในประเทศไทย ดินแดนแห่งเมืองยิ้ม
จะพูดว่าสองสตรีตามข้างต้น หรือผู้ที่ต่อมา กลายมาเป็นผู้นำประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น เกิดในวันเดียวกันก็คงได้
ที่สำคัญ สำนักข่าวเอเอฟพี ยังเคยได้เผยแพร่ภาพ 3 ผู้นำหญิงแห่งเอเชีย ซึ่งประกอบไปด้วย เบนาซีร์ บุตโต อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงแห่งปากีสถาน, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ นางกอราซอน อากิโน อดีตประธานาธิบดีผู้ล่วงลับแห่งฟิลิปปินส์ โดยระบุว่า ยิ่งลักษณ์ กำลังถูกบันทึกชื่อในประวัติศาสตร์ในฐานะหนึ่งใน "ผู้นำหญิงแห่งเอเชีย"
(https://www.thairath.co.th/content/191231)
วันนี้ในอดีต จึงขอนำประวัติของทั้งคู่มานำเสนอ เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ อาจเป็นประโยชน์ ไม่มากก็น้อย
เบนาซีร์ บุตโต
สำหรับประวัติของนักการเมืองหญิงชาวปากีสถานคนนี้ ต้องนับว่าดุเดือด และเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและการเข่นฆ่า
นับแต่รุ่นบิดาของเธอ ซึ่งหมายถึง นาย ซัลฟิการ์ อาลี บุตโต ซึ่งเป็นนักการเมืองผู้ก่อตั้งพรรคประชาชนปากีสถาน ช่วงปี พ.ศ. 2510 เขาประสบความสำเร็จได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีปากีสถานคนที่ 4 ระหว่างปี พ.ศ. 2514-2516 จากนั้น เมื่อลงจากเก้าอี้ประธานาธิบดี เขาก็ยังขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีปากีสถานคนที่ 10 ระหว่าง ปี พ.ศ. 2516-2520
แต่แล้ว นายอาลี บุตโต บิดาของเธอ ก็มีเหตุให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2520 เนื่องจากโดนยึดอำนาจ โดยการทำรัฐประหารของ นายพลโมฮัมหมัด เซีย อุล ฮัก และนำไปสู่การตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอใน 2 ปีถัดมา หรือตรงกับวันที่ 4 เม.ย.2522 ด้วยข้อกล่าวหาว่าวางแผนลอบสังหารนาย Ahmed Raza Kasuri นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม แต่นายอาลีปฏิเสธว่าข้อกล่าวหานี้ไม่เป็นความจริง และถูกสร้างหลักฐานปลอม โดยการบงการของนายพลเซีย-อุล-ฮัค
เป็นอันปิดฉากชีวิตของ นายอาลี บุตโต ไปอย่างน่าตกใจ ถึงความโหดเหี้ยม ดุเข้ม ของการเมืองปากีสถานที่ก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก!!!
อย่างไรก็ดีระหว่างนั้นนางเบนาซีร์ ซึ่งถือกำเนิดตั้งวันที่ 21 มิ.ย. 2496 แต่ในที่เธอก็ได้รับผลกระทบจากเส้นทางการเมืองของบิดาอย่างหนีไม่พ้น
โดยช่วงปี 2520 เบนาซีร์ ภายหลังสำเร็จการศึกษาทางด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และสมรสกับ อาซิฟ อาลี ซาร์ดารี ก็ได้เดินทางกลับมาตุภูมิ ซึ่งก็ตรงกับช่วงที่บิดาของเธอถูกยึดอำนาจในปีนั้นเอง
จากเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้ต่อมา เธอถูกยกขึ้นให้กลายมาเป็นผู้นำพรรคพีพีพีแทนบิดา
กล่าวคือ ภายหลังจากที่บิดาถูกประหารชีวิตในปี 2522 หลังจากนั้นอีก 5 ปี หรือตรงกับปี 2527 เธอจึงต้องลี้ภัยไปยังสหราชอาณาจักร และได้ตั้งที่ทำการพรรคประชาชนปากีสถาน และขึ้นทำหน้าที่ผู้นำพรรคแทนนางเบกุม นุสรัต บุตโต แม่ของเธอ
บุตโตเดินทางกลับสู่ปากีสถานในปี 2529 โดยสองปีต่อมา เธอชนะการเลือกตั้ง จนกระทั่งได้กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของปากีสถาน ในวัยเพียง 35 ปีเท่านั้น!
บุตโตขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงสมัยแรกเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2533 ในยุคที่ ฆุลาม อิสฮัค คาน เป็นประธานาธิบดี
ทำงานการเมืองได้เพียง 2 ปี หรือตรงกับวันที่ 6 ส.ค. 3533 เธอก็ถูกสั่งถอดถอนด้วยข้อหาคอร์รัปชั่น แต่ก็ยังกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยสองได้อีกครั้งในอีก 3 ปีต่อมา หรือตรงกับปี 2536
ที่สุดปี 2541 เธอและสามี หรือ นายอาซิฟ อาลี ซาร์ดารี ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ดูไบ เพราะพวกเขาถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 5 ปี และปรับเงินจำนวน 8 ล้าน 6 แสนดอลลาร์สหรัฐ ด้วยข้อหารับเงินจาก บริษัทสัญชาติสวิสเพื่อติดสินบนในการหลบเลี่ยงภาษี ศาลสูงกลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในเวลาต่อมา ทั้งๆ ที่ตัวเธอเองยืนยันว่าข้อกล่าวหาต่างๆ ถูกสร้างขึ้นโดยฝ่ายตรงข้าม
บุตโตลี้ภัยการเมืองอยู่ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) จนถึงปี 2550 จึงวางแผนเดินทางกลับสู่ปากีสถานเพื่อรณรงค์หาเสียงในปีนั้น และจะลงแข่งขันในสนามเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปีหน้า (2551) โดยหวังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3
แต่แล้ว ในวันที่ 18 ต.ค. 2550 การกลับมายังบ้านเกิดของเธอกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะแม้ว่าเธอได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามจากประชาชนเรือนแสนกลางกรุงการาจี ซึ่งสนับสนุนพรรคประชาชนปากีสถาน ซึ่งเธอดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
แต่มันก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรมที่มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 139 คน แน่นอนวันนั้น เธอไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สุดท้ายเธอก็หนีชะตากรรมไปไม่พ้น เพราะวันที่ 27 ธันวาคม 2550 เธอต้องจบชีวิตลงจากเหตุมือระเบิดฆ่าตัวตาย ระหว่างการหาเสียงที่เมืองราวัลพินดี และเธอถูกยิงเข้าที่ลำคอ
โดยมีรายงานข่าวภายหลังว่า มีการยิงปืนใส่เธอหลังการชุมนุมการเมืองที่ Liaquat National Bagh และมีการจุดระเบิดพลีชีพทันทีหลังการยิง โดยครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตอีก 24 คนจากการระเบิด
แต่อีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยปากีสถานแถลงว่า บุตโตเสียชีวิตเพราะกะโหลกแตกเมื่อแรงระเบิดทำให้ศีรษะเธอชนกับหลังคารับแดดของพาหนะ แต่ผู้ช่วยของบุตโตปฏิเสธแย้งว่า เธอถูกปืนยิงสองนัดก่อนการจุดระเบิด
อย่างไรก็ตาม หลังการเสียชีวิตของนางเบนาซีร์ พรรคพีพีพีได้เลือก นายอาซิฟ อาลี ซาร์ดารี สามีของนางเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่เขาปฏิเสธ และเสนอให้นายบิลาวัล บุตโต ซาร์ดารี บุตรชายเป็นผู้รับตำแหน่งแทน
สำหรับ ปมสังหาร บุตโตนั้น ทางการปากีสถานพุ่งเป้าไปที่ เปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ซึ่งเวลานี้กลายเป็นอดีตประธานาธิบดีปากีสถานไปตั้งแต่ปี 2551 และก็ต้องลี้ภัยตนเองอยู่ที่เมืองดูไบเช่นกัน จากการโดนคดีที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมดังกล่าว แต่เขายังคงปฏิเสธมาจนทุกวันนี้!
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ข้ามฟากจากฝั่งเอเชียใต้มาฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วันที่ 21 มิ.ย.2510 ที่จ.เชียงใหม่ เด็กหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ถือกำเนิดขึ้น เธอเป็นบุตรคนสุดท้องของ "นายเลิศ ชินวัตร และ นางยินดี ระมิงค์วงศ์ "
ที่สำคัญ เธอเป็นน้องสาวของ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่คนไทย “รัก” และ “ไม่รัก” มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นคือ “ทักษิณ ชินวัตร”
ในวัยต้น หญิงปูจบการศึกษาระดับ ม.ต้นจากโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย และ ม. ปลายจากโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จากนั้นเข้าศึกษาต่อเป็น "สิงห์ขาว" ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
กระทั่งเมื่อจบการศึกษา ก็ได้เดินทางไปเรียนต่อปริญญาโท ด้านรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต ที่ประเทศอเมริกา ที่มหาวิทยาลัยเคนตักกี้สเตท
แน่นอน ในช่วงหลังจบการศึกษาเป็นต้นมา หญิงปูได้เริ่มทำงานในบริษัทของครอบครัวมาตลอด ในหลายตำแหน่งหน้าที่ จนขึ้นผุู้บริหารที่ เป็นประธานกรรมการบริหารของ เอไอเอส ซึ่งเธอนั้นถือว่าเป็นน้องสาวที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้ความไว้วางใจในการบริหารธุรกิจในครอบครัวมากที่สุดคนหนึ่ง
จนเมื่อกลุ่มเทมาเส็ก โฮลด์ดิงส์เข้ามาซื้อหุ้นเธอจึงลาออกจากตำแหน่ง และเข้าเป็นประธานกรรมการบริหารเอสซี แอสเสท ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวเช่นเดียวกัน
แต่แล้ว เมื่อพี่ชาย ซึ่งหันมาเอาดีทางการเมืองจนประสบความสำเร็จ แต่ต่อมาเขาก็ประสบวิบากกรรมทางการเมือง โดยถูกการทำรัฐประหาร 19กันยายน 2549 จนต้องลี้ภัยไปต่างแดน
แต่เวลานั้น สายตาทุกคู่ก็เริ่มจับจ้องว่า ปู ยิ่งลักษณ์นี่แหละ จะเป็นทายาททางการเมืองให้กับพี่ชายเป็นแน่แท้
ช่วงหลังปี 2549 คนไทยได้นายกฯ มาหลายคน แต่ยังไม่มีครั้งไหน ที่จะดังกระหึ่มเท่ากับ นายกฯ หญิงคนแรกที่หาเสียงเพียงแค่ 49 วันเท่านั้น!!
กล่าวคือ เมื่อที่สุด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศจะสู้ศึกเลือกตั้งเองในนามพรรคเพื่อไทย หลังจากเหตุชุมนุมทางการเมืองปี 2552-2553 จนปี 2554 รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องประกาศยุบสภาในเดือนพฤษภาคม
พรรคเพื่อไทย จึงเสนอแม่ทัพที่จะนำสู้ศึกเลือกตั้ง คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเริ่มหาเสียงอย่างไม่รอช้า
ครั้งนั้น คนไทยได้เห็นหญิงสาวในวัยสี่สิบต้นๆ ลงลุยหาเสียงอยา่งไม่หวาดหวั่นฟ้าฝน ทำสัญญาประชาคมกับนโยบายที่จะยกระดับมาตรฐานชีวิต ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือน 15,000 บาท รถยนต์คันแรก และนโยบายที่ครองใจประชาชนที่หวังยกระดับชีวิตเกษตรกรอย่าง "โครงการรับจำนำข้าว"
แน่นอนที่ 3 กรกฎาคม 2554 ประชาชน จึงเทคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยอย่างท่วมท้น 265 ที่นั่ ส่งผลให้ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และส่งผลให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย
5 ส.ค.2554 เธอได้รับโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเริ่มงานในหน้าที่นายกฯ ทันที ในวัย เพียง 44 ปี ซึ่งที่หนักที่สุดในชีวิต คือต้องเจองานแก้ปัญหา “น้องน้ำ” หรือ มหาอุทกภัยที่ใหญ่ที่ในรอบ 50 ปีที่ถาโถมเข้ามาพอดี
คงจำกันได้ ช่วงนั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์โดนด่าไปหลายเข่ง เพราะการแก้ปัญหาไม่เป็นไปตามความคาดหวัง!
ผ่านมาจนปี 2556 สถานการณ์ทางการเมืองเลวร้ายลง มีสารพัดม็อบที่รุมเข้ เช่น ม็อบแช่แข็งประเทศไทยของพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์, ม็อบหน้ากากขาว, ม็อบสวนยางที่ปิดถนนภาคใต้, ม็อบต่อต้านเขื่อนแม่วงก์
และท้ายที่สุดม็อบ กปปส. ซึ่งเปิดฉากเรียกแขก ด้วยการต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หนักเข้าจนยิ่งลักษณ์ตัดสินใจยุบสภา เมื่อ 9 ธ.ค. 2556 และรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากการรักษาการในวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เนื่องจากการย้ายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
แต่ความวุ่นวายทางการเมืองยังไม่หมดไป จนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เกิดรัฐประหารขึ้นโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คสช.นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เช่นเดียวกับที่วิบากกรรมของยิ่งลักษณ์ก็ยังไม่หมด เนื่องจากเธอยังมี คดีโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนของ คดีระบายข้าวจีทูจี
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2558 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีหมายเลขดำที่ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เริ่มไต่สวนเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2559 และไต่สวนนัดสุดท้ายเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2560
กระทั่ง 1 ส.ค. 2560 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรแถลงปิดคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีดังกล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งปีหกเดือน รวม 26 นัดไต่สวนโดยไม่เคยขาดแม้แต่นัดเดียว ด้วยความมั่นใจในความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้กระทำตามข้อกล่าวหาและไม่เคยได้รับการไต่สวนภายใต้หลักนิติธรรมจากป.ป.ช. และอัยการสูงสุดในฐานะโจทก์ ความตอนหนึ่งว่า
"ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ดิฉันทำ คือ การใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดในต่างจังหวัด มีโอกาสได้รับรู้ สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกพวกเขาว่า เป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเรียกร้องให้คนไทยทุกคน เกื้อหนุนดูแล และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว เป็นผลพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า ในช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ นับเป็นความภูมิใจในชีวิต ที่ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้มีโอกาสผลักดันนโยบายนี้ ให้กับชาวนา"
และแล้ว วันที่ 25 ส.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฯ นัดอ่านคำพิพากษา แต่ยิ่งลักษณ์ไม่มาศาลฯ จึงมีการออกหมายจับและริบเงินประกัน 30 ล้านบาท
โดยที่สุดศาลมีการเลื่อนอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่ 27 กันยายน 2560 อัตราโทษของยิ่งลักษณ์อาจมีโทษจำคุกสูงถึง 10 ปีและถูกห้ามเกี่ยวข้องกับการเมืองตลอดชีวิต
กระทั่งวันที่ 26 ส.ค. 2560 ข่าวยืนยันทั่วกันว่า ยิ่งลักษณ์ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปดูไบ ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ศาลฯ จึงมีคำสั่งออกหมายจับยิ่งลักษณ์ในวันเดียวกันกับที่มีการอ่านคำพิพากษาในคดีระบายข้าวจีทูจี โดยระบุว่า จำเลยมีความผิดฐานทำสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐปลอม (ซึ่งงานนี้ บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถูกลงโทษจำคุก 42 ปี)
และจนถึงขณะนี้ ยิ่งลักษณ์ยังคงลี้ภัยอยู่นอกประเทศ และเพิ่งได้วีซ่าอยู่ยาวที่อังกฤษถึง 10 ปี พร้อมกับมีโอกาสได้ฉลองวันเกิดอย่างชื่นมื่นที่กรุงลอนดอนในวันนี้เอง
//////////
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
และ https://www.thairath.co.th/content/191231
ข่าวที่เกี่ยวข้อง