วันนี้ในอดีต

10 เม.ย.2553 กระสุนลึกลับ?ดับช่างภาพญี่ปุ่นคาม็อบ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กระสุนความเร็วสูง ไม่ทราบชนิดและขนาด ได้พุ่งเข้าทรวงอกด้านซ้ายส่วนบนของ ฮิโรยูกิ มูราโมโต ทำลายปอดและหลอดเลือดแดงใหญ่ ก่อนกระสุนทะลุออกต้นแขนขวาด้านหลัง

          สำหรับอาชีพนักข่าว และช่างภาพ การต้องทำหน้าที่นำเสนอภาพความจริงออกสู่สายตาชาวโลก ซึ่งว่ายากหนักหนาแล้ว แต่ยิ่งหนักหนาสาหัสมากยิ่งขึ้น เมื่องานนั้นพวกเขาต้องเอาตัวเองอยูในสมรภูมิ

          นักข่าวและช่างภาพหลายคน ต้องมาจบชีวิตลงในเหตุการณ์สู้รบต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งที่พวกเขา ไม่มีส่วนในเหตุการณ์นั้นแม้แต่น้อย

          เช่นเดียวกับ ฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ต้องมาจบชีวิตที่ประเทศไทย บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถนนดินสอ เมื่อค่ำคืนของวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 หรือวันนี้เมื่อ 8 ปีก่อน

 

10 เม.ย.2553 กระสุนลึกลับ?ดับช่างภาพญี่ปุ่นคาม็อบ

 

          แน่นอน แม้จะเป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศ ภายในเลือดคนไทยด้วยกันเอง หาใช่สงครามต่างเผ่าพันธุ์เฉกเช่นสมรภูมิรบข้างนอก

          แต่กระสุนแค่เพียงนัดเดียว ไม่ว่าจากน้ำมือใคร ฝ่ายไหน ก็ปลิดชีพใครก็ตามที่โชคร้ายเข้ามาอยู่ในวิถีของมันได้ทุกเมื่อ! 

          อย่างในเหตุการณ์นี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อที่สุดแล้ว ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคนเสื้อแดง หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช ่เปิดฉากขับไล่รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกครั้ง หลังจากที่เคยลุกฮือรอบแรกช่วงปี 2552 จนนำมาสู่ "สงกรานต์เลือด" มาแล้ว

 

10 เม.ย.2553 กระสุนลึกลับ?ดับช่างภาพญี่ปุ่นคาม็อบ

          จนมาปี 2553 นี้ เหตุการณ์รุนแรงบายปลายไปมากกว่าเดิม และเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนเช่นเดียวกัน โดยกลุ่มผู้ชุมนุม ทำการปิดการจราจรที่แยกราชประสงค์ รวมทั้งสร้างแนวป้องกันในบริเวณโดยรอบ จนกระทั่งวันที่ 8 เมษายน นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยห้ามการชุมนุมทางการเมืองเกินกว่าห้าคนขึ้นไป

          ที่สุด ในวันที่ 10 เมษายน กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ หรือเรียกปฏิบัติการนั้นว่า “ขอคืนพื้นที่” ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเริ่มตั้งแต่บ่ายวันนั้นเอง ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 ศพ ตลอดจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 800 คน

          สื่อไทยเรียกการสลายการชุมนุมดังกล่าวว่า “เมษาโหด” ที่นอกจากมีประชาชนเสียชีวิต ก็ยังมีนายทหารเสียชีวิตด้วย คือ พันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการ กองพลทหาราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ และ พลตรี วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพล รวมทั้งนายทหารอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส!

10 เม.ย.2553 กระสุนลึกลับ?ดับช่างภาพญี่ปุ่นคาม็อบ

          และหนึ่งในผู้เสียชีวิต คือ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นผู้นี้นั่นเอง โดยเขาถูกกระสุนปืนยิงเข้าบริเวณหน้าอกเสียชีวิตทันที ทั้งนี้ สื่อยังรายงานว่ากระสุนความเร็วสูง ไม่ทราบชนิดและขนาด ได้พุ่งเข้าทรวงอกด้านซ้ายส่วนบนของ ฮิโรยูกิ มูราโมโต ทำลายปอดและหลอดเลือดแดงใหญ่ ก่อนกระสุนทะลุออกต้นแขนขวาด้านหลัง

 

10 เม.ย.2553 กระสุนลึกลับ?ดับช่างภาพญี่ปุ่นคาม็อบ

          โดยยังมีพลเรือนไทยอีก 2 คนที่เสียชีวิตในเวลาเดียว สถานที่เดียวกันกับเขา คือ นายวสันต์ ภู่ทอง และนายทศชัย เมฆงามฟ้า ซึ่งเป็นผู้มาร่วมชุมนุม

          ช่วงนั้น หน้าข่าวสารของสังคมไทยพูดถึงการตายของช่างภาพญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประเด็นว่า กระสุนมาจากฝั่งไหน

          โดยบางฝ่ายก็ระบุว่ามาจากทางทหาร ขณะที่หลายแหล่งก็ระบุว่ามีชายชุดดำ ที่มีการใช้อาวุธสงคราม แฝงตัวมาในการชุมนุมจำนวนมาก และทำการยิงใส่ทหาร ซึ่งก็สันนิษฐานกันไปต่างๆ นานาว่า ชายชุดดำทั้งหลายคือคนของฝ่ายไหนกันแน่

          โดยเฉพาะเรื่องนี้ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก ที่สำคัญเลยคือรัฐบาลญี่ปุ่นได้ทวงถามถึงความคืบหน้าการไต่สวนหาคนผิดมาดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มข้น

 

10 เม.ย.2553 กระสุนลึกลับ?ดับช่างภาพญี่ปุ่นคาม็อบ

          ที่น่าสะเทือนใจ และน่าสลดใจคือ หลังเกิดเหตุไม่นาน ระดับรัฐมนตรีของญี่ปุ่นถึงกับบินมาไทย เพื่อมาวางพวงมาลาแสดงความอาลัยต่อฮิโรยูกิ ตรงจุดเกิดเหตุที่เขาสิ้นลมตรงนั้น!

          เวลาผ่านไปหลายปี การดำเนินการสืบสวนหาความจริง ไม่เคยหยุดพัก จนที่สุด ศาลอาญาออกนั่งบัลลังก์เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา

          และได้มีคำพิพากษาใน “คดีชายชุดดำ” ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี, ปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น, รณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา, ชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย และ ปุณิกา หรือ อร ชูศรี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน ร่วมกัน พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ หรือชุมชน และมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490

 

10 เม.ย.2553 กระสุนลึกลับ?ดับช่างภาพญี่ปุ่นคาม็อบ

          โดยศาลพิพากษาว่า กิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 และ ปรีชา จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ.2490 ให้จำคุกคนละ 8 ปี และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี ส่วน รณฤทธิ์, ชำนาญ และ ปุนิกา จำเลยที่ 3-5 นั้น พิพากษายกฟ้อง

          แต่ข้างต้น อาจพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่ามีชายชุดดำปะปนเข้ามาพร้อมอาวุธจริง หากแต่ไม่ใช่คำตอบว่า ฝ่ายไหนที่เป็นคนลั่นไกปืนกระสุนความเร็วสูงใส่ช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นผู้นี้

          และแน่นอน แม้จะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน ทำเป็นสำนวนไต่สวนชันสูตรศพ เพื่อนำขึ้นพิจารณาชั้นศาล โดยเจ้าหน้าที่สถานทูต และตัวแทนจากครอบครัว เดินทางมาติดตามผลการพิจารณาด้วยความหวังว่าความจริงจะเปิดเผย

          แต่สุดท้ายศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานไม่สามารถชี้ได้ว่า ผู้ตายเสียชีวิตด้วยการกระทำของใคร ฝ่ายไหน เพราะติดปัญหาของพยานหลักฐาน จึงไม่สามารถสรุปถึงเบื้องหลังการตายของช่างภาพชาวญี่ปุ่นได้!! กระสุนนั้นจึงยังคงลึกลับอยู่จนถึงทุกวันนี้!!

 

10 เม.ย.2553 กระสุนลึกลับ?ดับช่างภาพญี่ปุ่นคาม็อบ

          กล่าวสำหรับ ฮิโรยูกิ มูราโมโตะ เขาเกิดวันที่ 28 มิ.ย. ปี พ.ศ. 2509 ทำงานเป็นช่างภาพและผู้สื่อข่าว และเคยทำงานให้กับออสเตรเลียนบอร์ดแคสติงคอร์ปอเรชัน (เอบีซี) ในโตเกียว ในปี พ.ศ. 2533 และเป็นเป็นนักข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ประจำประเทศญี่ปุ่น รับผิดชอบทำข่าวทุกด้านทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลานานกว่า 15 ปี

          มูราโมโตะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทมเพิล เขาทำงานให้กับเอ็นบีซี และเอบีซีในเวลาต่อมา หลังจากนั้นเขาเข้าร่วมกับรอยเตอร์สในฐานะช่างภาพสมัครเล่นใน พ.ศ. 2535 และกลายมาเป็นช่างภาพอาชีพใน 3 ปีถัดมา ขณะที่เขาทำงานอยู่กับรอยเตอร์สเขาได้เดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงหลายพื้นที่ ทั้งประเทศเกาหลีเหนือและประเทศฟิลิปปินส์ (ในช่วงที่การเมืองไม่มั่นคง)

          นอกจากนี้เขายังได้เข้าร่วมกิจกรรมการกุศลหลายประเภท โดยเขาได้ใช้เวลา 2 วัน ในการเดิน 100 กิโลเมตรบริเวณภูเขาไฟฟูจิ เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือคนยากไร้ในทวีปแอฟริกา

          ทั้งนี้ บิดาชื่อนายอากีฮีโกะ และมารดาชื่อนางซูมิเอะ  มูราโมโต้ ซึ่งทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ อาศัยอยู่ที่เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ก่อนเสียชีวิตผู้ตาย สมรสกับนางเอมิโกะ มีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน! 

          ก็ถือเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ ว่าความขัดแย้ง มีแต่จะนำมาซึ่งความสูญเสีย ไม่ว่าฝ่ายกระทำจะเป็นฝ่ายไหน ยังไงก็ไม่มีใครชนะอย่างแท้จริง! 

////////////// 

ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

ภาพจากทีมช่างภาพเนชั่น

อนันต์ จันทรสูตร 
ปราโมทย์ พุทไธสง
ประเสริฐ เทพศรี 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ