วันนี้ในอดีต

ปลด‘เจ้าคุณเสนาะ’ เซ่นพิษเงินหลวง67ล.

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ใครจะเชื่อว่าหลังจากสตง.รายงานความผิดปกติเงินหลวง 67 ล้านบาท สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ไทย ถึงขั้นปลด มือขวา“สมเด็จเกี่ยว” ลูกพี่“เพ่น้ำฝน”จนเกิด"อัตวินิบาตกรรม”

 

         พลันที่ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” (ช่วง วรปุญฺโญ)เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้รับรายงานจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ยุคผู้ว่าฯ"นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส"ที่มีหนังสือแจ้งรายงานถึงความผิดปกติของการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ที่ใช้ในพิธีพระราชทานเพลิงศพ “สมเด็จเกี่ยว” สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) จำนวน 67 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่อง จำนวน 3 ฉบับ และฉบับสุดท้าย เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2558

          15 มกราคม 2558 สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้ลงนามในคำสั่งให้กรรมการมหาเถรสมาคมออกจากตำแหน่ง ซึ่งคำสั่งดังกล่าวระบุว่า ตามพระบัญชาแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม ลงวันที่ 22 กันยายน 2557 แต่งตั้ง“พระพรหมสุธี”หรือ“เจ้าคุณเสนาะ” เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 15 (4) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2505 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์(ฉบับที่ 2)พ.ศ.2535 มีพระบัญชาให้ พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร ป.ธ.6 น.ธ.เอก) วัดสระเกศ ออกจากตำแหน่ง“กรรมการมหาเถรสมาคม”ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2557 เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2558 ผู้รับสนองพระบัญชา นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการนายกรัฐมนตรี

         ว่ากันว่า คำสั่งให้“เจ้าคุณเสนาะ”เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ออกจากตำแหน่ง“กรรมการมหาเถรสมาคม”(มส.)สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน จำนวน 67 ล้านบาท ของ สตง. เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของมหาเถรสมาคม(มส.) และคณะสงฆ์โดยรวม รวมถึงไม่ให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของสังคมไทยอีกต่อไป

        ปมของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ “เจ้าคุณเสนาะ”ได้เบิกเงินงบประมาณแผ่นดินจำนวน 67 ล้านบาท เพื่อซื้อโต๊ะหมู่บูชานำไปแจกให้กับวัดวาอารามต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งๆ ที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว มีประชาชนได้บริจาคเงินสร้างโต๊ะหมู่บูชาให้จนครบจำนวนอยู่แล้ว

       เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้เจ้าคุณเสนาะออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศ จึงส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง เจ้าคณะภาค 12 ด้วย กระทั่งต่อมา 21 มกราคม 2558 มหาเถรสมาคม (พศ.)ได้มีคำสั่งปลดจากตำแหน่ง ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ

       วันนี้ในอดีต เมื่อ 21 มกราคม 2558 เวลา 14.00 น.ที่อาคารสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีการประชุมมหาเถรสมาคม(มส.)ครั้งที่ 2/2558 โดยในครั้งนี้มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานการประชุมมส. โดยการประชุมมส.ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ไม่มี “พระพรหมสุธี”หรือเจ้าคุณเสนาะ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร อดีต กรรมการมส.เข้าร่วมประชุม

         ที่ประชุมมส.ได้มีมติ ให้ปลด“พระพรหมสุธี” ออกจาก“ตำแหน่งประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ”และแต่งตั้งให้ “เจ้าคุณธงชัย” พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) รักษาการเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ในฐานะที่ปรึกษาสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตฯ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานรูปใหม่ ตามที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเสนอ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการตรวจสอบ 

        เมื่อพระรูปใดต้องมลทินให้ออกจากตำแหน่งไว้ก่อน ทั้งนี้เมื่อพิสูจน์ได้ว่า บริสุทธิ์ไร้มลทินก็สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าได้ตามเดิม แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเจ้าคณะปกครองด้วย ส่วนการจะพักงานนานเท่าใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการสอบสวนเหตุที่เกิดขึ้นว่า จะมีผลสรุปออกมาเมื่อใด ซึ่งอาจจะนานเกิน1 ปีก็ได้

         การสั่งพักงานเจ้าคุณเสนาะทั้ง 3 ตำแหน่ง ได้แก่ เจ้าอาวาส เจ้าคณะภาค และประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23 ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2541 และอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลของพระสงฆ์ที่มีคุณสมบัติและมีความเหมาะสมที่จะเป็นกรรมการ มส.รูปใหม่ ต่อไป

        สำหรับ“เจ้าคุณเสนาะ”นั้น ถือเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ มีเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจยิ่ง จนสร้างประวัติศาสตร์สะท้านกรุงรัตนโกสินทร์มาแล้ว โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2521 ที่พระอุโบสถวัดสระเกศราชวิหาร ได้รับฉายาว่า “ปญฺญาวชิโร” มีความหมายว่า “ผู้มีปัญญาอันเฉียบแหลม”

        หลังจากอุปสมบทได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่ง“เลขานุการ สมเด็จพระพุฒาจารย์” (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และทำหน้าที่ดังกล่าวมาอย่างยาวนาน จนเปรียบเสมือน“แขนขวา” ของเจ้าประคุณสมเด็จเกี่ยว

        2530 ได้รับการแต่งตั้งเป็น“พระครูสัญญาบัตร”ฐานานุกรมในพระพรหมคุณาภรณ์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ที่ พระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ ต่อมาในปีเดียวกันได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น“พระราชาคณะชั้นสามัญ” เปรียญที่ “พระปัญญาวชิราภรณ์”   
        จากนั้นก็ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์มาโดยตลอด ในปี 2535 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระราชสิทธิมงคล ปี 2540 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพโสภณ ปี 2543 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมสิทธิเวที และปี 2548 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ “พระพรหมสุธี”

        การได้รับสมณศักดิ์เป็น “พระราชาคณะเจ้าคณะรอง” ของเจ้าคุณเสนาะที่ พระพรหมสุธี ถือเป็นเหตุการณ์ที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะได้รับสมณศักดิ์ชั้นดังกล่าวทั้งที่มีอายุไม่ถึง 50 ปี เนื่องจากขณะนั้นเจ้าคุณเสนาะมีอายุเพียง 45 ปี และอายุพรรษาที่ 27 พรรษา

       ตามประวัติศาสตร์ มีพระเพียง 4 รูปเท่านั้น ที่ได้รับการสถาปนาในลักษณะดังกล่าวคือ สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสโภ) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กทม. สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก(เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร กทม. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กทม. และพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กทม.

       ไม่เพียงเท่านั้น "เจ้าคุณเสนาะ"เป็นพระสงฆ์รูปเดียวของกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้รับการสถาปนาในขณะที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

        เหนืออื่นใด เจ้าคุณเสนาะนั้นไม่ใช่พระธรรมดา หากแต่มีสมณศักดิ์ ที่“ชั้นพรหม”หรือที่ศัพท์ทางพระเรียกกันว่า“พระราชาคณะเจ้าคณะชั้นหิรัญบัฏ”ซึ่งอีกเพียงชั้นเดียวก็ได้เป็น “สมเด็จพระราชาคณะ” แล้ว และในปัจจุบันมีพระที่ได้รับสมณศักดิ์ในชั้นนี้เพียง 23 รูป(ทั้งมหานิกายและธรรมยุตินิกาย) เท่านั้น

         ต้องไม่ลืมว่า "พระพรหมสุธี" หรือ"เจ้าคุณเสนาะ"ยังเคยมีตำแหน่งในทางการปกครองของคณะสงฆ์ไทยมากมายหลายตำแหน่ง เช่น เคยเป็น “เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ” เคยเป็น “กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) เคยเป็นเจ้าคณะภาค 12(ดูแลพระสงฆ์และวัดใน 4 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดปราจีนบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว) เคยรักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา และเคยเป็นประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เป็นต้น

        "เจ้าคุณเสนาะ" ถือเป็นพระผู้มากบารมี และทรงอิทธิพลรูปหนึ่งในสังคมไทย และเป็นที่รับรู้กันมาตลอดว่า เจ้าคุณเสนาะคือ“มือขวา” ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชที่ล่วงลับไปแล้ว

        ไม่เพียงเท่านั้น “เจ้าคุณเสนาะ” นั้นคือ “ลูกพี่” ของ “พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กิตฺติจิตฺโต” หรือ “หลวงพี่น้ำฝน” เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ขาใหญ่แห่งเมืองนครปฐม ผู้ซึ่งเจ้าคุณเสนาะแต่งตั้งให้เป็น "ฐานานุกรม" จนสามารถเบ่งกล้ามชนิดไม่กลัวเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม อีกทั้งเคยได้รับการคาดการณ์ว่าจะได้รับการสถาปนาขึ้น เป็น “สมเด็จพระพุฒาจารย์”สืบต่อจากผู้เป็นอาจารย์

       เส้นทางชีวิตในสมณเพศที่ไม่ธรรมดา และมูลเหตุที่เป็นเช่นนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะ“เจ้าคุณเสนาะ”ทำงานรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย โดยเฉพาะหลังจากที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประชวร และเสด็จเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เรียกได้ว่าถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่กุฏิของเจ้าคุณเสนาะ

        ภาพจำ ความยิ่งใหญ่ของ“เจ้าคุณเสนาะ”เห็นจะหนีไม่พ้นกรณี “หลวงพี่น้ำฝน” เพราะใครเลยจะไปคิดว่า พระที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาสารพัดสารพัดจะได้รับการแต่งตั้งเป็น"ฐานานุกรม" และทันทีที่หลวงพี่น้ำฝนได้รับการแต่งตั้ง จากเจ้าคุณเสนาะ ก็เดินอกผายไหล่ผึ่งถือตาลปัตรกลับวัดไผ่ล้อมอย่างไม่เกรงกลัวใคร และฉับพลันข้อร้องเรียนต่างๆ ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ก็เงียบหายเป็นปลิดทิ้ง!!

        เจ้าคุณเสนาะยังเคย"รักษาการเจ้าอาวาสวัดโสธรวรารามวรวิหาร" จ.ฉะเชิงเทรา วัดที่ได้ชื่อว่ามีผลประโยชน์และเงินทองมากมายมหาศาล อยู่เป็นเวลาหลายปี ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน

        ความยิ่งใหญ่ของเจ้าคุณเสนาะ อาจจะเป็นเหตุทำให้เจ้าคุณเสนาะ“คิดมาก”เนื่องจากไม่สามารถปล่อยวาง “อำนาจวาสนา” ซึ่งเคยได้ลิ้มชิมรสมาโดยตลอดได้ ทั้งๆ ที่บวชเรียนมาตลอดชีวิต รวมทั้งสอนพระปริยัติธรรมให้กับลูกศิษย์ลูกหามามากมาย รวมทั้งเจ้าคุณเสนาะเองก็น่าจะได้รับรู้ข้อมูลมาบ้างแล้วว่า ได้มีการเคลียร์เรื่องนี้จบสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากการช่วยเหลือของหลายฝ่าย

         ก่อนกระทำ “อัตวินิบาตกรรม”ด้วยการใช้ “ประคดผูกคอตาย”ของ“เจ้าคุณเสนาะ”เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2559 ถือเป็นเหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์สงฆ์ไทยจะต้องจารึกนั้น เวลาญาติโยมมาเยี่ยมหรือแม้แต่พระสงฆ์เข้ามาสักการะ ก็จะพูดคุยไม่นาน ทั้งยังเคยเปรยอีกด้วยว่า“เบื่อ ไม่อยากอยู่แล้ว”

-----//------

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ