วันนี้ในอดีต

อิน จัน จากโทษประหาร สู่ “นายทาส” แดนมะกัน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

 นับเป็นการเกิดมาคู่กัน อยู่เพื่อกันและกัน และยังจากไปโดยไม่ทอดทิ้งกันโดยแท้

          อย่างที่รู้กันว่า อิน-จัน เป็นชื่อของฝาแฝดสยาม ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และยังเป็นที่มาของคำว่า "แฝดสยาม" เนื่องจากเกิดที่ประเทศสยาม (ประเทศไทย)

          และดูเหมือนจะเป็นฝาแฝดที่มีหน้าอกติดกันคู่แรกของโลกที่สามารถดำรงชีพเหมือนคนธรรมดาได้ตลอดชีวิต แตกต่างไปจากแฝดติดกันคู่อื่น ๆ ที่มักเสียชีวิตหลังคลอดได้ไม่นาน

 

อิน จัน  จากโทษประหาร  สู่ “นายทาส” แดนมะกัน

ขอบคุณภาพจาก http://www.sookjai.com/

          แต่เหนือกว่าสิ่งอัศจรรย์ของร่างกาย ดูเหมือนว่า ชีวิตของคนทั้งคู่ ต้องนับว่าเป็นตำนานที่ไม่มีวันตาย

          เพราะเรื่องราวของเขา ยังถูกเล่าขานมาจนทุกวันนี้ แม้เขาจะจากโลกนี้ไปนานแล้ว ตั้งแต่วันนี้เมื่อ 144 ปีก่อน!

          ฝาแฝดอิน-จัน เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2354 ตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 2 ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ที่จังหวัดสมุทรสงคราม บิดาเป็นชาวจีนอพยพ มาแต่ช่วงรัชกาลที่ 1 ชื่อ นายที มารดาเป็นคนไทยชื่อ นางนาก

          จะเรียกว่าโชคร้าย หรือโชคดีก็มิอาจชี้ชัดได้ นางนากให้กำเนิดทารกแฝดเพศชาย แต่ทว่าพวกเขากลับมีตัวติดกันทางส่วนหน้าอก โดยบันทึกของชาวตะวันตกระบุว่า เนื้อที่เชื่อมกันระหว่างอกนี้ สามารถยืดได้จนทั้งคู่สามารถหันหลังชนกันได้

          และที่น่าตกใจคือ ตามกฎหมายในเวลานั้น ทั้งคู่ต้องถูก “ประหารชีวิต” เนื่องจากความเชื่อที่ว่าเป็น “ตัวกาลกิณี” แต่โชคดีที่เมื่อเวลาผ่านไป ก็หาได้มีเหตุการณ์ใดๆ ตามความเชื่อไม่ โทษนั้นจึงได้รับการยกเลิก

          อย่างไรก็ดี เวลาผ่านไปเพียง 2 ปี เด็กน้อยต้องสูญเสียบิดาจากอหิวาตกโรค นางนากต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแต่เป็นบุญที่แฝดน้อยเป็นเด็กดี มีความขยัน ช่วยแม่ทำงานบ้าน หาผักหาปลาตามกำลัง และยังไปขายน้ำมันมะพร้าว และทำไข่เค็มขาย

          กระทั่งช่วงปี 2367 ความดีนี้ ทราบถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือล้นเกล้ารัชกาลที่ 3 จึงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นางนาก และอิน-จันเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทั้งคู่จึงโชคดี ในชีวิตได้มีบุญได้เดินทางร่วมไปกับคณะทูตเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศโคชินไชน่า (เวียดนามในปัจจุบัน)

          แต่จุดเปลี่ยนแห่งชีวิต พลิกผัน เพราะพ่อค้าชาวอังกฤษหัวใสชื่อ นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ ที่ช่วงปี 2367 นาย ฮันเตอร์ หรือที่คนไทยสมัยนั้นเรียกว่า "นายหันแตร" ได้มาพบแฝดคู่นี้โดยบังเอิญ ขณะอินจันในวัย 13 ปี กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ริมน้ำแม่กลอง เขาจึงเข้ามาทำความสนิทสนมกับครอบครัวของฝาแฝดอยู่นานนับปี

          จนในที่สุด นายอาเบล คอฟฟิน กัปตันเรือสินค้า เดอะ ชาเคม ซึ่งเข้ามาทำการค้าในไทย ได้นำตัวคู่แฝดออกเดินทางจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2372 ซึ่งเวลานั้นอิน-จัน โตเป็นหนุ่มวัย 18 ปีเท่านั้น

          พวกเขาต้องอยู่บนเรือเป็นเวลาถึง 138 วัน จึงถึงเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ โดยที่นี่เองที่คู่แฝดได้ทำการเปิดตัว (เอกสารบางฉบับบอกว่า ไม่ได้เริ่มที่บอสตัน แต่ไปตั้งหลักที่รัฐแคลิฟอร์เนีย)

 

อิน จัน  จากโทษประหาร  สู่ “นายทาส” แดนมะกัน

ขอบคุณภาพจากhttp://nipatthonglek.blogspot.com/2016/02/13.html

          อนึ่ง ตามสัญญานั้น อินจันได้ทำไว้กับนายฮันเตอร์และนายคอฟฟิน ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อทั้งคู่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ แปลว่า ทั้งคู่เป็นลูกจ้างของฮันเตอร์และคอฟฟินแค่ 2 ปีแรก โดยได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทน จนเมื่อเป็นอิสระทั้งคู่ก็เปิดการแสดงเอง และได้แสดงไปทั่วสหรัฐอเมริกากินเวลารวม 10 ปี!!

          ถึงตรงนี้หลายคนอาจพอประเมินได้ว่า แฝดพี่น้องอินจันคู่นี้ มีหัวธุรกิจไม่เบา

          เพราะนอกจากจะสามารถหลุดจากสัญญาทางธุรกิจที่ว่ากันว่า ถูกเอาเปรียบอยู่บ้าง แล้วดำเนินการแสดงด้วยลำแข้งของตนเองตอมาได้

          จนเมื่ออายุได้ 28 ปี หรือราว พ.. 2382 ทั้งคู่ยังสามารถมีเงินเก็บจำนวนมหาศาลเพื่อลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านแทรปฮิลล์ เขตชานเมืองวิลส์โบโร เคาน์ตีวิลส์ ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาอีกด้วย

          อินจันได้นำเงินมาลงทุนซื้อที่ดิน 11 เอเคอร์ พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน โดยใช้ชื่อว่า “เอ็ง” และ “ชาง” บังเกอร์ พร้อมกับได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกันที่เป็นพี่น้องกัน และเป็นเจ้าของที่ดินติดกันนั่นเอง

          โดยอินสมรสกับ ซาร่าห์ แอน แยทส์ และจันสมรสกับ อเดเล้ดแยทส์ และมีลูกด้วยกันหลายคน โดยจันมีทายาทถึง 10 คน ส่วนอินมีทายาทถึง 11 คน

 

อิน จัน  จากโทษประหาร  สู่ “นายทาส” แดนมะกัน

ขอบคุณภาพจาก http://www.sookjai.com/

          ช่วงนี้ว่ากันว่า อาจเพราะความต้องการใช้ชีวิตคู่ตามปกติสามัญ ทั้งคู่พยายามที่จะทำการผ่าตัดแยกร่างออกจากกัน ด้วยการสนับสนุนจากหลายบุคคลหลายฝ่าย แต่ท้ายที่สุดก็มิได้มีการดำเนินการจริงๆ

             มุมุหนึ่ง เล่ากันว่า คู่แฝดไม่ชอบให้ใครมาพูดเรื่องผ่าตัดแยกร่างออกจากกันแฝดจากแม่กลองยืนยันว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องแยกร่าง ไร้สาระ ไม่เห็นมีใครเดือดร้อนซะหน่อย 

          ที่สุด จากดาราเอเชีย ที่แจ้งเกิดในอเมริกา และนับว่าร้อนแรงที่สุดในยุคนั้น อินจัน หันหน้าสู่แดนดินอันกว้างใหญ่ไพศาล เพื่อใช้ชีวิตชาวไร่ฝ้าย และทยอยซื้อทาสไว้ใช้ทำงาน รวมแล้วถึง 33 คน โดยว่ากันว่า ในสมัยนั้นทาสเป็นทรัพย์สินที่มีราคาพอๆกับที่ดิน และในรัฐที่การมีทาสถูกกฎหมาย ก็มีประชากรเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่มีฐานะพอจะมีทาสไว้ใช้งาน แปลว่า อิน จัน แฝดสยามจากไทย ไปไกลกว่าที่คิด!!

          แต่ชีวิตเปลี่ยนตามกาลเวลาที่ผ่าน ข้อมูลด้านหนึ่ง ระบุว่า สงครามกลางเมืองอเมริกา ที่ระเบิดขึ้นใน เดือนเมษายน ปี ค.. 1861 หรือ พ..2404 รัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่ทั้งคู่ลงหลักปักฐาน เป็น 1 ใน 11 รัฐ ที่แยกตัวจากสหภาพเพื่อก่อตั้งเป็น สมาพันธรัฐอเมริกา คริสโตเฟอร์ลูกชายของจัน และสตีเฟน ลูกชายของอิน ต่างเข้าร่วมรบในกองทัพของสมาพันธรัฐ แต่ฝ่ายสมาพันธรัฐ (ใต้) แพ้สงคราม คู่ฝาแฝดสูญเสียทรัพย์สินของตนเกือบหมด!!

 

อิน จัน  จากโทษประหาร  สู่ “นายทาส” แดนมะกัน

ขอบคุณภาพจาก http://www.sookjai.com/

          เป็นไปได้ว่า ช่วงสุดท้ายของชีวิตที่หมดตัว ทำให้จันผู้น้องเริ่มป่วย ด้วยการดื่มสุราหนัก ทำให้เป็นโรคหลายโรค ที่สุดในวันที่ 17 มกราคม พ.. 2417 จันก็เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวาย กระทั่งอีกราว 2 ชั่วโมงถัดมา อินก็ได้เสียชีวิตตามไปด้วย

          ซึ่งจากการชันสูตรและลงความเห็นของแพทย์สมัยใหม่ ระบุว่า อินต้องสูญเสียเม็ดเลือดแดงให้แก่จันที่เสียชีวิตไปแล้ว ผ่านทางเนื้อที่เชื่อมกันที่อก

          อย่างไรก็ดี เนชั่นทีวีเคยนำเสนอข้อมูลจากหนังสือที่เขียนโดย โจเซฟ แอนดรูว์ ออร์เซอร์ ชื่อ "เดอะ ไลฟ์ส ออฟ ชาง แอนด์ เอ็ง" เดอะ บังเกอร์ส ได้ระบุเนื้อหาบางส่วนเอาไว้ว่า การโชว์จองแฝดคู่นี้ ถูกเรียกว่า "คนประหลาด"

          แต่พวกเขาก็สามารถดำเนินชีวิตต่อมาอย่างเข้มแข็ง จนกลายเป็นพลเมืองอเมริกันเต็มตัว โดยเมื่อแต่งงาน ภรรยาของพวกเขาทั้งคู่ก็ให้กำเนิดลูก ในปี 2387 ลูกคนแรกของพวกเขาทั้งคู่ เกิดห่างกันแค่ 6 วัน และคู่ต่อมาเกิดห่างกัน 8 วัน

อิน จัน  จากโทษประหาร  สู่ “นายทาส” แดนมะกัน

ขอบคุณภาพจาก http://www.sookjai.com/

          กระทั่ง ต่อมาในปี 2413 จันป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้ร่างกายด้านหนึ่งของเขาเป็นอัมพาตและเป็นข้างที่ติดกับอิน ทำให้อินต้องดูแลจัน ซึ่งต้องใช้แถบผ้าคล้องขาข้างหนึ่งเอาไว้ และใช้ไม้เท้ากับแขนข้างหนึ่งของอินช่วยพยุงเดิน

          และเมื่อไม่สามารถกลับไปมีสุขภาพสมบูรณ์ได้อีกทำให้จันเอาแต่ดื่มเหล้า นำมาซึ่งโรคร้ายก่อนจะเสียชีวิตส่วนอินซึ่งรู้สึกว่าตัวเองป่วย ได้ขอให้ลูกชายช่วยตรวจสอบจัน และเมื่อลูกชายบอกว่า จันเสียชีวิตแล้วเขาก็บอกว่า กำลังจะตายด้วยเช่นกัน และหลังจากนั้นเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง อิน ซึ่งทั้งเศร้าเสียใจและไม่สบาย ก็จากไปอีกคน

          นับเป็นการเกิดมาคู่กัน อยู่เพื่อกันและกัน และยังจากไปโดยไม่ทอดทิ้งกันโดยแท้

 

อิน จัน  จากโทษประหาร  สู่ “นายทาส” แดนมะกัน

ขอบคุณภาพจาก http://www.sookjai.com/

///////////

ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

ขอบคุณข้อมูลสนุกๆ จากผลงาน ของ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก

และติดตามอ่านได้จาก ลิงค์นี้ http://www.sookjai.com/index.php?topic=166502.0และ http://www.sookjai.com/index.php?topic=166502.0

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ