วันนี้ในอดีต

"คุกตลอดชีวิต" ฆ่าหั่นศพครูสอนภาษา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

พิษรักแรงหึง กลายเป็นชวนเหตุ “ต้องฆ่า" หั่นศพด้วยการใช้มีดไล่ตัดเซาะอวัยวะทั้งหมดครูสอนภาษาชาวญี่ปุ่น วัย79 ปี อย่างเหี้ยมโหด

       

           “นายเท็ตซูโอะ ชิมาโต”พยายามติดต่อทางโทรศัพท์มือถือถึงผู้เป็นพ่อระหว่างพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย หลายครั้ง แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงเดินทางมาเมืองไทยและได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เมื่อวันที่ 14 ต.ค.2557 ว่าพ่อวัย 79 ปีหายตัวไปลึกลับ!!

         จากนั้น“นายเท็ตซูโอะ ชิมาโต” ได้พาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปยังห้องพักประจำของบิดา"นายโยชิโนริ ชิมาโตะ"ครูสอนภาษาญี่ปุ่น อายุ 79 ปี

         ที่อาคารศรีวรา แมนชั่น ชั้น 10 ห้อง 180 เขตห้วยขวาง ปรากฏว่า้พบ"นางพรชนก ไชยะปะ"จำเลยที่2 อายุ 49 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว  อยู่ภายในห้อง ซึ่งการตรวจค้นพบบัตรเอทีเอ็มของผู้ตายอยู่ในกระเป๋า“นางพรชนก”และการตรวจค้นรถกระบะอีซูซุของ“นางพรชนก”ยังพบโทรศัพท์มือถือ ที่มีซิมการ์ดของนายโยชิโนริ ชิมาโตะอยู่ในรถกระบะของนางพรชนก อีกด้วย

         พิษรักแรงหึงกลายเป็นชวนนเหตุ “ต้องฆ่า"หั่นศพครูสอนภาษาชาวญี่ปุ่น วัย79 ปี เมื่อ“สมชาย แก้วบางยาง”จำเลยที่ 1 สามีนางพรชนก  ไชยะปะ ทั้งคู่เป็นสามีภรรยาอยุ่กินกันมาตั้งแต่ปี2530   

          ก่อนเกิดเหตุ นางพรชนกจำเลยที่ 2 คบหาและมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับ“นายโยชิโนริ ชิมาโตะ”ผู้ตาย แล้วเมื่อวันที่ 21 ก.ย.2557 เวลา 16.00 น. จำเลยที่ 2 ขับรถกระบะพานายโยชิโนริ ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลบางนา 2 เนื่องจากมีอาการ แขนขาอ่อนแรง ซึ่งแพทย์มีความเห็นว่าควรนอนพักรักษาที่ โรงพยาบาล แต่จำเลยที่ 2 แจ้งว่าค่าใช้จ่ายสูงเกินไป

         ในวันเดียวกันเวลา 17.00 น. จำเลยที่ 2 จึงขับรถยนต์พานายโยชิโนริ ออกจากโรงพยาบาลไปยังบ้านพักของจำเลยที่ 2 ในหมู่บ้านออคิด วิลล่า ม.7 ตำบล – อำเภอ บางเสาธง จ.สมุทรปราการ แล้วถูกฆ่าจนถึงแก่ความตายขณะอยู่ในบ้านดังกล่าว

         จากนั้นนายสมชายจำเลยที่ 1 ได้ชำแหละศพ“นายโยชิโนริ ชิมาโตะ”ผู้ตาย ตัดอวัยวะต่างๆ ออกเป็นชิ้น แล้วใส่ในอ่างอาบน้ำชั้นบนของบ้าน กระทั่งกลางคืนของวันที่ 21 ก.ย. 2557 นายสมชาย แก้วบางยาง จำเลยที่ 1 ได้นำชิ้นส่วนศพผู้ตายใส่ถุงปุ๋ย และถุงขยะพลาสติก สีดำ นำไปทิ้งใน คลองนางทิ้ม ตำบล – อำเภอ บางบ่อ จ.สมุทรปราการ

          โดยวันที่ 21 – 22 ต.ค. 2557 เจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำ กองบังคับการตำรวจน้ำ ได้ตรวจพบถุงปุ๋ย และถุงขยะ สีดำ ที่มีชิ้นส่วนศพผู้ตายอยู่ตามคำรับของจำเลยที่ 1 และเมื่อตรวจพิสูจน์หาสารพันธุกรรม หรือ DNA ก็เชื่อว่าเป็นศพของ “นายโยชิโนริ ชิมาโตะ"ผู้ตาย    

          ศาลอาญาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งว่า นายสมชาย จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายด้วยการใช้อาวุธมีดปลายแหลม แทงและฟันผู้ตาย แล้วใช้หมอนกดศีรษะทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจ โดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องจริงหรือไม่ ซึ่งคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนก็ยังสับสนและไม่สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของนางพรชนก จำเลยที่ 2

         ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์คดีโดยรวมแล้วต้องถือว่าคำให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติมของนายสมชาย จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2557 เป็นข้อเท็จจริงที่สมเหตุ สมผล น่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้มากที่สุดเพราะสอดคล้องกับวันเวลาและสถานที่อยู่ของผู้ตาย กับจำเลยทั้งสอง ตามข้อมูลการใช้โทรศัพท์จนเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตาย น่าจะเกิดจากความหึงหวงนางพรชนก จำเลยที่ 2 ที่คบหา และติดต่อผู้ตายบ่อยครั้ง ก่อนเกิดเหตุ ตลอดจนผู้ตาย กับจำเลยที่ 2 มีเพศสัมพันธ์ที่บ้านเกิดเหตุมาโดยตลอด

         ไม่เพียงเท่านั้น จำเลยที่ 2 เคยเล่าให้จำเลยที่ 1 ฟังว่าช่วงมีเพศสัมพันธ์ผู้ตายจะทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 2 บ่อยครั้ง จึงอาจทำให้จำเลยที่ 1 โกรธผู้ตาย หรืออาจจะมาจากสาเหตุที่ผู้ตายทราบแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีของจำเลยที่ 2 จนทำให้ก่อนเกิดเหตุผู้ตายมีปากเสียงกับจำเลยที่ 2 บ่อยครั้ง

         สำหรับการชำแหละศพผู้ตายก็เชื่อว่า เกิดขึ้นหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว เป็นการกระทำเพื่อปกปิดความผิดของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ซึ่งพฤติการณ์ชำแหละศพแม้จำเลยที่ 1 ใช้มีดไล่ตัดเซาะอวัยวะทั้งหมด กรณีต้องถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำต่อศพของผู้ตายอย่างตั้งใจ โหดเหี้ยม และทารุณ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่เลือดเย็นและโหดร้ายของจำเลยที่ 1 แต่ไม่อาจถือเอาพฤติการณ์ดังกล่าวมาเป็นเรื่องการวางแผนฆ่าผู้ตายโดยคิดไตร่ตรอง ทบทวนแล้วจึงตกลงใจฆ่าผู้ตายหรือกระทำโดยทารุณโหดร้าย เนื่องจากการชำแหละศพเกิดขึ้นหลังจากฆ่าผู้ตายแล้ว และเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายไม่ได้เป็นการฆ่าเพื่อหวังทรัพย์สินเป็นหลัก

          เนื่องจากข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ว่า หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำทรัพย์สิน สิ่งของส่วนตัวของผู้ตายที่อยู่ในบ้าน ที่เกิดเหตุไปทิ้ง ส่วนเอกสารของผู้ตายนำไปเผาทำลายพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายลักษณะปัจจุบันทันด่วน โดยมีสาเหตุจากความหึงหวง ดังนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 288 แต่ไม่ใช่การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

         แต่ในส่วนของนางพรชนก จำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้ศาลเห็นโดยชัดแจ้งว่า อยู่ร่วมกันในบ้านที่เกิดเหตุ แล้วร่วมกันฆ่าผู้ตาย ซึ่งพยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ยังมีความสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.227 วรรค 2

          ส่วนข้อหาร่วมกันซ่อนเร้นหรือทำลายศพ ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองให้การชั้นสอบสวนและนำสืบในชั้นพิจารณาสอดคล้องตรงกันว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ชำแหละศพผู้ตายแล้วนำขึ้นรถกระบะของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับและจำเลยที่ 2 นั่งไปด้วยกัน ซึ่งจำเลนที่ 2 ทราบเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกฆ่าและการชำแหละศพในบ้านที่เกิดเหตุแล้ว ดังนั้นพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาต้องถือว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ซ่อนเร้นศพผู้ตาย

         สำหรับทรัพย์สินของผู้ตาย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านางพรชนก จำเลยที่ 2 ใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้ตายไปเบิกถอนเงินสด 15 ครั้งรวมเป็นเงิน 7.2 แสนบาท ระหว่างวันที่ 28 – 30 ก.ย. และวันที่ 1 – 3 และ 5 – 13 ต.ค. 2557 ดังนั้นจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานมีและนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ตายไปใช้ ในส่วนของนายสมชาย จำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ความผิดในข้อหาลักทรัพย์ และเอาเอกสารของผู้ตายไปเผาทำลาย หลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว มีเฉพาะเงินสด 3,000 บาทเท่านั้นที่ เก็บไว้ใช้ตามที่จำเลยที่ 1 นำสืบ

         ส่วนข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายไว้ที่บ้านพักของจำเลยที่ 2 ในหมู่บ้านออคิด วิลล่า เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยัน โดยชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายก่อนที่จะลงมือฆ่า เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายลักษณะปัจจุบันทันด่วน โดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน ประกอบกับฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุ 2 วัน ผู้ตายเคยเดินทางไปพักบ้านที่เกิดเหตุโดยลำพัง และเป็นอิสระ ดังนั้นพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้ตาย

         วันนี้ในอดีต 14 มกราคม 2559 หลังเกิดเหตุ 2  ปี ศาลอาญาจึงพิพากษาให้ประหารชีวิตนายสมชาย จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , จำคุก 1 ปีฐานร่วมกันซ่อนเร้าทำลายศพฯ และจำคุก 2 กระทงละ 2 ปีรวม 4 ปี ฐานลักทรัพย์และเอาไปซึ่งเอกสาร ตามมาตรา 334 รวมจำคุกจำเลยที่ 1

           ส่วนจำเลยที่ 2 ให้จำคุก 1 ปี ฐานซ่อนเร้นทำลายศพปี ,จำคุก 2 ปี ฐานลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ฯ และ จำคุก 15 กระทงๆ ละ 3 ปี รวม 45 ปี ฐานลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ฯ

          จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพมีเหตุควรลดโทษให้เฉพาะข้อหาที่รับสารภาพ กระทงละกึ่งนึ่ง จึงให้จำคุกตลอดชีวิต นายสมชาย จำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นฯ , จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันซ่อนเร้นทำลายศพฯ และจำคุก 2 ปี ฐานลักทรัพย์และเอาไปซึ่งเอกสาร แต่เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วไม่อาจรวมโทษจำคุกกระทงอื่นได้อีก จึงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต

          ส่วนนางพรชนก จำเลยที่ 2 ให้จำคุก 1 ปี ฐานลักบัตรอิเล็กทรอนิกส์ และฐานมีและใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งของผู้อื่นโดยมิชอบ ให้จำคุก 22 ปี 6 เดือน ส่วนข้อหาซ่อนเร้นทำลายศพคงจำคุก 1 ปี รวม จำคุกทั้งสิ้น 24 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำเลยที่ 2 ทุกกระทงความผิดแล้วตามกฎหมายให้จำคุกสูงสุด เป็นเวลา 20 ปี ให้นายสมชาย จำเลยที่ 1 คืนเงินที่ลักไปทรัพย์รวม 45,390 บาท และนางพรชนก จำเลยที่ 2 คืนเงิน 7.2 แสนบาท ให้นายเท็ตซูโอะ บุตรชายของผู้ตาย ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง

 —--------//—--------

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ