วันนี้ในอดีต

2 ม.ค.2550 “ผมไม่เคยคิดจะทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น!”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผมเป็นคนทำงานก็ย่อมมีจุดอ่อน จุดบกพร่องบ้าง แต่ผมขอยืนยันว่า ผมไม่เคยคิดร้าย คิดเลวต่อชาติบ้านเมือง ต่อสถาบันเบื้องสูงที่เราเคารพศรัทธา และต่อพี่น้องประชาชนเลย

          จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของตัวเอง โดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ถึง นายกฯ ขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลงวันที่ 2 ม.ค. 2550 ก็เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์กับเหตุการณ์สุดเลวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2550  ในวันปีใหม่ของ 11 ปีที่แล้ว ขณะที่คนไทยกำลังมีความสุขกับการเฉลิมฉลอง

          อยู่ๆ ก็เกิดเหตุระเบิดในกรุงเทพมหานคร 4 ลูก เกือบพร้อมกันในหลายส่วนของเมือง ตั้งแต่เวลาประมาณ 18.00 น. ตามมาด้วยระเบิดอีกหลายลูกภายในระยะเวลา 90 นาที ต่อมาระเบิดอีกสองลูกเกิดระเบิดขึ้นหลังเที่ยงคืน รวมทั้งหมดแล้ว เกิดระเบิดขึ้นแปดครั้งในคืนดังกล่าว

          นอกจากนี้วันเดียวกัน ยังเกิดระเบิดขึ้นที่มัสยิดในจังหวัดเชียงใหม่ ทางการสั่งการยกเลิกการจัดกิจกรรมวันสิ้นปีสาธารณะทั้งหมด รวมไปถึงการนับถอยหลังที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และการทำบุญตักบาตรที่สนามหลวง

          ที่สุด จากวันที่สวยงามของคนไทยกลับกลายเป็นวันที่สูญเสีย! เพราะมีการยืนยันผู้เสียชีวิต 3 คน และอีกมากกว่า 38 คน ได้รับบาดเจ็บ!

          อย่างไรก็ดี แม้ว่จะมีชายคนหนึ่งถูกจับกุมในกรุงเทพมหานครเนื่องจากพกพาอุปกรณ์ระเบิด และตำรวจจังหวัดเชียงใหม่อ้างว่าภารโรงของมัสยิดที่เกิดระเบิดขึ้นนั้นยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ทำระเบิดขึ้น

          แต่ น่าสนใจที่ว่า เหตุการณ์นี้ นายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ออกมากล่าวประณาม “พวกอำนาจเก่า” ว่าเป็นกลุ่มที่รับผิดชอบกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น

          แน่นอนหลายคนรู้ว่าคำนี้หมายความวา่อะไร หรือหมายถึงใครและกลุ่มไหน โดยได้กล่าวว่า

          "ถึงแม้ระเบิดที่ใช้จะมีรูปแบบคล้ายคลึงกับที่ใช้โดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศ การสืบสวนในเชิงลึกกลับไม่พบความเชื่อมโยง"

          “ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะมาถึงที่นี่เนื่องจากอาจหลงทางในกรุงเทพมหานครได้”

          แต่ในที่สุด พรรคไทยรักไทย และ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดดังกล่าว จนภายหลัง พล.อ.สุรยุทธ์ได้กลับคำ และยอมรับ โดยระบุว่า “เป็นเพียงการวิเคราะห์ด้านข่าวกรอง” และไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลชัดเจนสนับสนุน

          อย่างไรก็ดี ต่อมา การสืบสวนของตำรวจกลับพบว่า กลุ่มแบ่งแยกดินแดนภาคใต้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดดังกล่าว เนื่องจากวงจรจุดระเบิด และวัสดุอื่นที่ใช้ทำระเบิดนั้น เหมือนกับที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนใช้กัน

          หากแต่ทางคณะรัฐประหารกล่าวว่ากลุ่มแบ่งแยกดินแดนไม่สำคัญเท่าใดนัก โดยอ้างว่าพวกเขาอาจจะว่าจ้างผู้ที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตการณ์การเมืองในกรุงเทพมหานครมาทำงานก็ได้

          ที่สุด วันที่ 2 มกราคม 2550 นายนพดล ปัทมะ ได้นำจดหมายที่ ดร.ทักษิณ เขียนด้วยลายมือ เนื้อหาเป็นการตอบโต้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ปฏิเสธว่า “ตนไม่เคยคิดจะทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น”!!

          ข้อความในจดหมาย ซึ่งส่งตรงจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ถึงพี่น้องประชาชนไทย อันเนื่องมาจากเหตุการณ์การลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ หลายจุด ในวันคืนวันที่ 31 ธ.ค.2549 ต่อเนื่องมาถึงวันที่ 1 ม.ค.2550 ที่เป็นการเขียนด้วยตนเอง ระบุว่า

 

“กราบเรียน พี่น้องชาวไทยที่เคารพรัก”

          “วันนี้ผมมีความจำเป็นที่ต้องออกจากความเงียบทางการเมือง หลังจากที่ถูกปฏิวัติ ที่ผมเงียบไม่ได้พูดการเมือง ก็เพราะตั้งใจที่จะเห็นบ้านเมืองเกิดความปรองดอง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หลังจากที่ผมเฝ้าดูมา 100 เศษ ก็พบว่า กลุ่มที่ร่วมกันล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็ไม่สามารถและไม่พยายามสร้างความสมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นได้ ทั้งๆ ที่ ผมได้โทรศัพท์พูดคุยกับบุคคลบางคนในกลุ่มนี้ ในฐานะคนเคยทำงานด้วยกัน มีความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมา เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ผมมีน้ำใจนักกีฬาพอ ที่จะรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ขอให้เขาทำหน้าที่ให้เต็มที่ ไม่ต้องพะวงผม”

          “ผมจะยังไม่กลับไป เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์โดยเร็ว แต่พฤติกรรมกลับตรงกันข้าม มีความอาฆาดมาดร้าย ไร้ความยุติธรรม ตอกลิ่มความแตกแยก มีการกล่าวเท็จโดยแนวร่วมอยู่ตลอดเวลา ถ้าคนเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว ประเทศจะได้รับความเชื่อถือได้อย่างไร ถ้าประเทศขาดความน่าเชื่อถือ ก็อย่าหวังว่า ประชาชนจะมีความสุข อยู่ดีกินดี เพราะเราต้องอาศัยเม็ดเงิน ที่เป็นเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อสร้างความเจริญและความมั่งคั่งให้ประเทศ”

          “ที่เลวร้ายที่สุดคือ เหตุระเบิดในกรุงเทพฯ คืนวันที่ประชาชนออกไปหาความสุขกัน คือ วันที่ 31 ธ.ค.2549 รัฐบาลนี้สามารถสรุปในเช้าวันที่ 1 ม.ค. (วันรุ่งขึ้น) ได้ทันทีว่า เป็นกลุ่มการเมืองเก่า และมีสื่อที่ขายจิตวิณญาณบางคนพยายามชี้มาที่ผม ข่าวคราวที่แท้จริงถูกปิดบัง ถ้าเปรียบกับระเบิดที่เกิดขึ้นหลายครั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีทหาร ครู พระ ประชาชนตาย และบาดเจ็บจำนวนมากในช่วงรัฐบาลนี้ ก็ยังจับกุมไม่ได้ พอเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ ไม่ถึง 24 ชั่วโมง รีบสรุปว่าเป็นกลุ่มการเมืองเก่า ข่าวสารถูกปิดบัง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด นักการเมืองบางคนที่กลัวการแข่งขันก็ร่วมกล่าวหา”

          “พี่น้องครับ ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองดำเนินไปด้วยความไม่ยุติธรรมไร้คุณธรรมเช่นนี้ ทำรายล้างกันเอง และหนีปัญหาที่แท้จริงเช่นนี้ ต่างชาติเขาจะหัวเราะเยาะเอา ทั้ง ๆที่ทุกประเทศเขาเร่งเดินหน้าสร้างความเจริญของเราขอถอยหลัง ชำระแค้นกันเองเสียก่อน จะไหวหรือครับ ผมเคยติดตามงานด้านความมั่นคงมาก่อน ผมสอบถามตำรวจดู ถึงวัสดุที่ใช้ และแผนปทุษกรรม และทราบว่ามีวงจรปิด มีการจับกุมวัยรุ่นที่สงขลา ที่เตรียมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ผมก็เดาได้ว่า น่าจะมีโอกาสสูงที่จะเชื่อมโยงกับสถานการณ์ภาคใต้ ดูแล้วคล้ายกับที่ทำที่หาดใหญ่ แต่ผมก็ยังต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป”

          “แต่รัฐบาลนี้แทนที่จะตรวจสอบให้แน่นอน ซึ่งต้องใช้เวลาบ้าง กลับเอาสถานการณ์ความวิตก สะเทือนขวัญของประชาชน และความน่าเชื่อถือของประเทศมาเล่นการเมืองทันที เพราะถ้ายอมรับว่า มีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์ภาคใต้ ก็เท่ากับยอมรับว่า นโยบายปูผ้ากราบ ผิดพลาด คนเหล่านี้เขามีความมุ่งมั่นที่จะแยกดินแดง หรืออย่างน้อยขอปกครองตนเอง จึงเห็นความอ่อนแอของนโยบายเป็นช่องทางต่อรองจึงรุก ผมเคยประชุมเตือนผู้มีหน้าที่ระดับสูงหลายครั้งว่า ถ้าไม่สามารถสะกดให้อยู่ใน 3 จังหวัดได้ จะเข้าหาดใหญ่ ถ้ายังสกดไม่ได้อีก จะเข้ากรุงเทพฯ และจะเสียหายต่อประเทศ ทุกครั้งที่มีเทศกาลในกรุงเทพฯ ที่ประชาชนจะออกมาหาความสุขจำนวนมาก ผมจะสั่งการให้หน่วยข่าวเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคลเหล่านี้ล่วงหน้า และให้เจ้าหน้าที่ของตัวอยู่กับประชาชนในจุดที่เป็นจุดเบาะบาง หรือ SOFT TARGET พอเทศกาลผ่านไปโดยไม่มีเหตุก็จะโล่งใจกันครั้งหนึ่ง”

          “พี่น้องครับ ไม่ว่า ผู้ที่ลอบวางระเบิดจะเป็นใคร ผมขอประฌามการกระทำครั้งนี้ โดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง (CONDEMN WIHT STRONG WORDS) และผมขอสาบานว่า ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดทำร้ายและทำร้ายความสุขของประชาชน ทำรายความน่าเชื่อถือของประเทศ เพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง ถ้าพี่น้องจำได้ จะเห็นได้ว่า ช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองความพยายามล้มล้างรัฐบาลโดยกลุ่มเสียผลประโยชน์ และกลุ่มที่เข้าใจรัฐบาลผิดอันเกิดจากการโกหกนั้น ผมไม่เคยใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาเลย โดยเฉพาะปีที่แล้ว เป็นปีมหามงคลยิ่งของพี่น้องชาวไทย”

          “ข้อกล่าวหาที่เลวร้ายมากอีกเรื่อง ที่ผมถูกใส่ร้าย คือความไม่จงรักภักดี เรื่องนี้พี่น้องคงจะประจักษ์ดีแล้วว่า ตลอดเวลาในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ผมได้เทิดทูล ทุ่มเท โดยเฉพาะในปีมหามงคลทีผ่านมา ด้วยความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุดมิได้”

          “ทุกข้อกล่าวหา ผมขอให้ใช้กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลางถูกต้องตามหลักสากล ซึ่งถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน อันจะนำไปสู่ความน่าเชื่อถือของประเทศ ผมพร้อมเผชิญและพร้อมเดินทางกลับไปรับข้อกล่าวหาเพื่อต่อสู้ทุกกรณี แต่ไม่ใช่มาบอกว่าไม่อยากให้ผมกลับเข้าประเทศในช่วงนี้ แต่เล่นงานผมและครอบครัว กล่าวหาผมลับหลัง ขอให้คิดว่าคนทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาวนาหรืออดีตนายกรัฐมนตรีย่อมมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์และชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่ต้องรักษาเช่นกัน”

          “แต่ทั้งนี้คงไม่มีอะไรสำคัญกว่าชาติ ที่นับวันความน่าเชื่อเถือก็ลดลง พวกเรายังชำระแค้นกันเองไม่ว่าในหมู่ข้าราชการ นักการเมืองและประชาชน ผมขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เดินหน้าประเทศของเราต่อไปเถอะครับ เพื่อพระเจ้าอยู่หัวของเรา ซึ่งจะเจริญพระชนม์พรรษา 80 พรรษาในปีนี้ ซึ่งก็เป็นปีมหามงคลยิ่งของชาวไทยอีกปีหนึ่ง และได้โปรดอย่าแอบอ้างพระองค์ท่านเพื่อทำลายกันเองอีกต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ”

          “สุดท้ายนี้ ผมขอกราบเรียนพี่น้องประชาชนว่า ที่ผ่านมา ผมเป็นคนทำงานก็ย่อมมีจุดอ่อน จุดบกพร่องบ้าง แต่ผมขอยืนยันว่า ผมไม่เคยคิดร้าย คิดเลวต่อชาติบ้านเมือง ต่อสถาบันเบื้องสูงที่เราเคารพศรัทธา และต่อพี่น้องประชาชนเลย ถ้ามีสิ่งใดบกพร่องไม่เป็นที่พอใจของใคร ผมก็ขอกราบอภัย มา ณ ที่นี้ด้วย และผมขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพ ตลอดจนเดชะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โปรดดลบันดาลประทานพร ให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ทุกครอบครัว จงประสพแต่ความสุข ความเจริญ คิดสิ่งใดสมความปรารถนาทุกประการ ตลอดปี พ.ศ.2550 ครับ”

          “ด้วยความเคารพและสำนึกต่อชาติ”

          (ลายเซ็น)

          พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

          แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ ก็เพื่อเป็นการยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ และคงเป็นทางเดียวที่จะยืนยันได้ คือ ลายมือของตนเอง!

          และที่แน่ยิ่งกวา่แน่ หลังจากนั้น บ้านเมืองเราก็ยังมีเหตุะระเบิดเกิดขึ้นเรื่อยมา ต่างกรรม ต่างวาระไป และในจำนวนนั้น ย่อมมี “ระเบิดการเมือง” รวมอยู่ด้วย เพียงแต่เป็นลูกไหน หรือจากน้ำมือฝ่ายใด ต้องคิดกันเอาเอง!!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ