วันนี้ในอดีต

วันนี้ในอดีต คุกตลอดชีวิต หนุ่มอิหร่าน ระเบิด 3จุด สุขุมวิท

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

วันนี้ในอดีต 22 ส.ค.2556 ศาลจำคุกหนุ่มอิหร่าน 'ซาอิด โมราดิ' ตลอดชีวิต ก่อระเบิด 3 จุด ซ.ปรีดี-สุขุมวิท 71 ส่วนเพื่อนอิหร่านอีกคน เจอคุก 15 ปี

            วันนี้ในอดีต 22 ส.ค. 2556  ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาคุกตลอดชีวิต “ ซาอิด โมราดิ” หนุ่มอิหร่าน ก่อระเบิด 3จุด ซอยปรีดี- สุขุมวิท 71 ส่งผลตำรวจ-ชาวบ้านบาดเจ็บสาหัส ส่วนเพื่อนอิหร่านเจอคุก 15 ปี ทำให้ระเบิดบ้านเรือนเสียหาย พร้อมให้ชดใช้ 2 ล้านบาทเจ้าของบ้าน

             ทั้งนี้ ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีเหตุระเบิด 3 จุดย่านสุขุมวิท หมายเลขดำ ด.1446/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายซาอิด โมราดิ (SAEID MORADI)อายุ 29 ปี(ขณะก่อเหตุ) ซึ่งขาซ้ายขาด และตาขวาบอดจากเหตุระเบิด และ นายมูฮัมหมัด ฮาซาอิ(MOHAMMED KHAZAEL) อายุ 43 ปี (ขณะก่อเหตุ)ทั้งสองเป็นชาวอิหร่าน เป็นจำเลยที่ 1 - 2 ในความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดระเบิด , ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ , พยายามฆ่าผู้อื่น,ทำให้เสียทรัพย์ และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490 ฯ รวม 6 ข้อหา

              โดยโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 14 พ.ค.55 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 19 ธ.ค.54 - 14 ก.พ.55 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสอง กับนางไลลา โรฮานี (LEILA ROHANI) , นายซีดา การ์ด ซาเดด มะห์ซุส (SEDA GHAT ZADEH MASOUD) และนายนูโรซิ ซายัน อารี อัคบาร์ (NOROUZI SHAYAN ALI AKBAR) สัญชาติอิหร่านทั้งหมด ที่เป็นพวกของจำเลยทั้งสองซึ่งหลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันทำและร่วมกันมีวัตถุระเบิดแรงสูงซีโฟร์ น้ำหนัก 1.5 ก.ก. ชนิดแสวงเครื่องจำนวน 5 ชุดไว้ ซึ่งหากดึงสลักออกจากกระเดื่องนิรภัยแล้วปล่อยกระเดื่องนิรภัย เข็มแทงชนวนที่ตัวเรือนชนวนจะทำงานถ่วงเวลาประมาณ 5 วินาที ก็จะเกิดระเบิดขึ้นสามารถสังหารชีวิตมนุษย์ สัตว์ ทรัพย์สินให้ได้รับความเสียหายได้ในรัศมีฉกรรจ์ประมาณ 10-15 เมตรจากจุดระเบิด

            ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ก.พ.55 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1-2 และนายมะห์ซุส ได้ร่วมกันใช้ระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 1 ชุด ที่ร่วมกันทำ โดยทำให้เกิดระเบิดส่งผลบ้านเลขที่ 66 ซอยปรีดีพนมยงค์ 31 (เจริญใจ) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ของนายบัณฑิต พิฑูรมานิต ได้รับความเสียหายทั้งหลัง ซึ่งต้องเสียค่าซ่อมแซมทั้งสิ้น 5 ล้านบาท และจำเลยที่ 1 ยังทำให้เกิดระเบิดจนบ้านพักของผู้ที่อยู่ใกล้เคียงเสียหายอีก 8 ราย รวมทั้งรถแท็กซี่ อีก 1 คัน

            นอกจากนี้ระเบิดยังทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 2 รายด้วย ขณะที่ผิวถนน กลางซอยปรีดีพนมยงค์ 31 ที่เป็นทางสาธารณะได้รับความเสียหายเป็นหลุมกว้าง

             ทั้งนี้ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธต่อสู้คดีว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำระเบิด และจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 รู้จักกันช่วงที่ซื้อตั๋วเครื่องบิน ซึ่งจำเลยที่ 1 เดินทางมาประเทศไทยเพื่อซื้อเสื้อผ้าไปขายยังประเทศอิหร่าน ส่วนจำเลยที่ 2 มาบ้านเช่าเพื่อมาทวงเงินจากจำเลยที่ 1 แล้วเมื่อเกิดเหตุระเบิดจำเลยที่ 1 ได้นำระเบิดที่เหลือเพื่อจะเอาไปทิ้งที่แม่น้ำ 

             ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นับแต่ นางไลลา เช่าบ้านของนายบัณฑิต นายอารี อัคบาร์ ก็ได้เดินทางเข้า-ออกบ้านที่เกิดเหตุหลายครั้ง ซึ่งก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 และนายอารี เดินทางเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกัน พฤติการณ์เชื่อว่านายอารี เป็นผู้นำวัตถุระเบิดเข้ามาในบ้านที่เกิดเหตุเพื่อให้จำเลยทั้งสองกับพวกนำไปใช้ซึ่งมีการวางแผน โดยเมื่อจำเลยที่ 2 เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกก็ได้ไปเช่าห้องพักในโรงแรมนาซ่าเวกัส ย่านคลองตันไว้นาน6 เดือนซึ่งมีนายมะห์ซุส เข้ามาอาศัย แล้วภายหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดอุปกรณ์บล็อคที่ใช้การขนย้ายวัตถุระเบิดถึง 5 ชุดภายในห้องพักที่ตรงกับจำนวนระเบิดในบ้านเกิดเหตุ         ขณะที่จำเลยที่ 2 กับพวกยังได้ไปซื้อรถจักรยานยนต์เตรียมไว้ 2 คันด้วย ซึ่งระหว่างนั้นพวกจำเลยเดินทางเข้า- ออกประเทศไทย- อิหร่าน

           โดยช่วงเกิดเหตุพบว่า จำเลยทั้งสองได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกัน ส่วนนายมะห์ซุส เข้ามาประเทศไทยล่วงหน้า1 วัน ก่อนที่ทั้งหมดไปท่องเที่ยวที่พัทยาพร้อมกัน จึงแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของพวกจำเลย และการที่นายอารี เข้า-ออกบ้านที่เกิดเหตุได้ ก็น่าเชื่อว่าได้รับกุญแจบ้านมาจากนางไลลา ที่แสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวก ได้ตกลงวางแผนกันมาก่อน ประกอบกับวัตถุระเบิดที่พบในบ้าน ก็เป็นวัตถุระเบิดที่ประกอบขึ้น มีแม่เหล็กแรงสูงสำหรับติดกับเป้าหมาย ซึ่งประเด็นนี้โจทก์ ก็ได้นำสืบถึงเหตุวางระเบิดภรรยานักการทูตประเทศอิสราเอลในอินเดียและจอร์เจียเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 55 ซึ่งเกิดเหตุก่อนคดีนี้เพียง 1 วันว่า คนร้ายสัญชาติอิหร่าน ใช้วัตถุระเบิดโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการกระทำผิดลักษณะวัตถุระเบิดเช่นเดียวกันกับพฤติการณ์ในคดีนี้

          พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และประชาชนที่อยู่ในช่วงเกิดเหตุ รวมทั้งผู้ได้รับความเสียหาย ล้วนแต่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และคำเบิกความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องต้องกันจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และใช้วัตถุระเบิดทำให้เกิดระเบิดในบ้าน

         และข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ว่า หลังจากที่ร่วมกันทำให้เกิดระเบิดในบ้านนายบัณฑิตแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ ก็ยังถือระเบิดอีก 2 ลูกมาด้วยแต่เมื่อมี ชาวบ้านพยานโจทก์ ที่เห็นเหตุการณ์ได้ติดตามไป จำเลยที่ 1 จึงวางระเบิดลงพื้นถนนกระทั่งมีรถแท็กซี่ขับรถมาคล่อมตรงจุดจนเกิดระเบิด แสดงว่า จำเลยที่ 1 เล็งเห็นผลว่าระเบิดดังกล่าวอาจทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้เพื่อตนจะหลบหนีอย่างสะดวก และเมื่อจำเลยที่ 1 ออกมาจาก ซ.ปรีดีพนมยงค์ 31 จนมาถึงหน้าโรงเรียนเกษมพิทยา ก็ยังได้โยนระเบิด 1 ลูกที่เหลือเข้าใส่ ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ สุขวัต รอง สว.ป.สน.คลองตัน กับพวกที่มาสกัดจับ จนทำให้เกิดระเบิดและได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยมีเจตนาฆ่า ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ ที่จะเข้ามาจับกุมจำเลยที่ 1 รวมทั้งยังทำให้ น.ส.ฝนหยก โพธิ์ไพงาม ที่อยู่ใกล้เคียงได้รับอันตรายสาหัสด้วย               พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานใช้วัตถุระเบิดพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และเป็นเหตุให้บ้านเรือน ทรัพย์สินสาธารณะเสียหาย ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1-2 ร่วมกันทำวัตถุระเบิดนั้นโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาสืบให้เห็นว่า จำเลยร่วมกันทำวัตถุระเบิด จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดข้อหานี้

          จึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 222 ,224 วรรคสอง 288, 289, 358, 360 ,371 ประกอบมาตรา 80 และ พ.ร.บ. อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนฯพ ศ 2490 มาตรา 55 และ 78 ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรม ให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานใช้วัตถุระเบิดกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสาม ซึ่งเป็นบทหนักสุด และจำคุกตลอดชีวิต ฐานใช้วัตถุระเบิดในการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน พร้อมให้ปรับ 100 บาท ฐานพาอาวุธไปในทางสาธารณะโดยเปิดเผยและไม่มีเหตุสมควร 

         นอกจากนี้ จำเลยที่ 1-2 ยังมีความผิดตาม มาตรา 218 (1) , 221 , 222 , 358 ประกอบมาตรา 83 และความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้จำคุกจำเลยที่1- 2 คนละ 15ปี ฐานร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินและบุคคลอื่น และโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย ซึ่งเป็นบทหนักสุด โดยให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับนายบัณฑิต เจ้าของบ้านด้วย 2 ล้านบาท แต่สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกไว้ตลอดชีวิต และปรับ 100 บาท หากไม่ชำระเงินก็ให้กักขังแทนค่าปรับ และให้จำเลยที่ 1ชดใช้เงิน 6,691 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ที่ทำให้ตู้โทรศัพท์สาธารณะเสียหายให้กับบริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชน) นับตั้งแต่วันเกิดเหตุอีกด้วย ส่วนอุปกรณ์วัสดุการประกอบระเบิดของกลางให้ริบไว้ 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ