ข่าว

"ฟาน ไดค์"กับเส้นทางสู่ยอดกองหลังระดับโลก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ประกาศออกมาเป็นที่เรียบร้อยสำหรับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำปี 2018-2019 ซึ่งเกิดจากการโหวตเลือดโดยเพื่อร่วมอาชีพที่ค้าแข้ง

    โดยผลออกมาเป็นไปตามคาดเมื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังจอมแกร่งของ ลิเวอร์พูล คือผู้ที่ซิวรางวัลดังกล่าวไปครองแบบไร้ข้อกังขา พร้อมเอาชนะนักเตะซูเปอร์สตาร์รายอื่นๆ ทั้ง ซาดิโอ มาเน, เอแด็น อาซาร์, เซร์คิโอ อเกวโร, ราฮีม สเตอร์ลิง และแบร์นาร์โด ซิลวา

    นอกจากนั้นจากการคว้ารางวัลดังกล่าวไปครอง ส่งผลให้สตาร์วัย 27 ปีกลายเป็นกองหลังคนแรกในรอบ 14 ปีที่ซิวรางวัลอันทรงเกียรติ หลัง จอห์น เทอร์รี อดีตเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เชลซี เคยทำได้เมื่อปี 2004-05 นอกจากนั้นยังเป็นแข้งดัตช์คนที่ 4 ต่อจาก โรบิน ฟาน เพอร์ซี, รุด ฟาน นิสเตลรอย และเดนนิส เบิร์กแคมป์ ซึ่งได้รางวัลนี้อีกด้วย

    สำหรับ ฟาน ไดค์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับทีมดังแห่งถิ่น แอนฟิลด์ ในลีกซีซั่นนี้ หลังพาทีมเก็บคลีนชีต 17 นัด เสียเพียง 20 ประตู ส่วนสถิติส่วนตัวก็มีทั้งเข้าประทะสำเร็จ 71%, เคลียร์บอล 285 ครั้ง และดวลชนะคู่แข่ง 207 ครั้งตลอด 36 นัดที่ลงสนาม จึงเรียกได้ว่าเป็นคีย์แมนสำคัญที่ทำให้ทีมกลับเบียดลุ้นแชมป์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี อย่างสูสี

     อย่างไรก็ตามก่อนจะขึ้นมาเป็นยอดกองหลังที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดคนหนึ่งของโลกในปัจจุบัน เจ้าตัวต้องผ่านเส้นทางอันยากลำบาก รวมถึงเป็นการพิสูจน์ทั้งเรื่องฝีเท้า และสภาพจิตใจมากมาย
 

จากเด็กล้างจานสู่นักเตะอาชีพ

     ฟาน ไดค์ เริ่มต้นการเข้าสู่วงการลูกหนังจากการเป็นผู้เล่นเยาวชนของทีม วิลเลียม ทเว ทีมในบ้านเกิดทว่าในขณะนั้นเขายังเป็นแค่ผู้เล่นฝึกหัดส่งผลให้ไม่มีรายได้ และต้องไปรับงานพาร์ทไทม์เป็นเด็กล้างจานหลังช่วงเวลาฝึกซ้อม
ในช่วงแรกนั้นเขาลงเล่นในตำแหน่งฟูลแบ็กฝั่งขวา ทว่าไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัดทำให้สุดท้ายแล้ว ฟาน ไดค์ ย้ายมาเล่นเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟแทนด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่
     จนกระทั่งในปี 2010 หนึ่งในแมวมองของ โกรนิงเกน ได้เห็นฟอร์มของผู้เล่นรายนี้ในเกมระดับเยาวชน และคิดว่าน่าจะมีแววพัฒนาเป็นนักเตะอาชีพได้ จึงลองยื่นสัญญาให้กับ ฟาน ไดค์ ที่ขณะนั้นมีอายุเพียง 18 ปี พิจารณาด้วยค่าเหนื่อยแค่เดือนละ 1,250 ปอนด์ (ราว 5 หมื่นบาท)

"ฟาน ไดค์"กับเส้นทางสู่ยอดกองหลังระดับโลก

เกือบแขวนสตั๊ด

     หลังจากย้ายมาอยู่กับ โกรนิงเกน เจ้าตัวไม่ได้รับโอกาสในทีมชุดใหญ่เลยแต่อย่างใด เหตุถูกมองว่ายังไม่มีประสบการณ์ หรือฝีเท้าที่ดีพอในการลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ ส่งผลให้เจ้าตัวต้องลงไปเล่นในทีมชุดสำรองก่อนเกือบ 1 ปี

    จนกระทั่งในเดือน พ.ค.2011 ฟาน ไดค์ ได้โอกาสลงสนามในทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในเกมที่ทีมเอาชนะ เอดีโอ เดน ฮาร์ก 4-2 ด้วยการลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 72 และด้วยฟอร์มที่น่าประทับใจส่งผลให้เขาได้โอกาสลงเล่นอย่างต่อเนื่อง

     โดยทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดีสำหรับแข้งดาวรุ่งรายนี้ ทว่าในวันเกิดอายุครบ 20 ปี ฟาน ไดค์ เจอถูกตรวจเจอภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ และไตเป็นพิษ ซึ่งทำให้เจ้าตัวต้องหยุดพักการลงสนามไปในช่วงเวลาหนึ่ง และเสี่ยงต่อการต้องล้มเลิกการเป็นนักเตะอาชีพ

    "ผมจำช่วงเวลานั้นได้ดี ร่างกายของผมเปลี่ยนไปมาก และไม่สามารถทำอะไรได้เลย โดยถึงขนาดว่าผมต้องทำเอกสารพินัยกรรมเพื่อมอบทรัพย์สินให้กับคุณแม่หากเป็นอะไรไป ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่อยากคิดถึงมันอีกแล้ว" ฟาน ไดค์ กล่าว

     อย่างไรก็ตามในฤดูกาล 2012-13 ฟาน ไดค์ หายจากอาการป่วย และกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และกลายเป็นปีแจ้งเกิดของเขาอย่างแท้จริง เพราะได้ลงเล่นไปกว่า 39 เกมรวมทุกรายการ

สร้างชื่อในต่างแดน

    หลังจบฤดูกาลที่น่าประทับใจ แน่นอนว่า ฟาน ไดค์ ได้รับความสนใจจากบิ๊กทีมของลีกแดนกังหันอย่าง อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่หวังเซ็นสัญญาเข้าไปร่วมทีม เหตุต้องการหาตัวแทนของ โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ ที่กำลังย้ายไปอยู่กับ แอตเลติโก มาดริด ทว่าสุดท้ายแล้ว อาแจกซ์ กลับดึงตัว ไมค์ ฟาน เดอร์ ฮูร์น ไปเสริมแนวรับแทน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ กลาสโกว์ เซลติก ของ นีล เลนนอน ได้รับคำแนะนำจากแมงมองให้ดึงตัวกองหลังรายนี้ไปร่วมทีม

    จนสุดท้าย ฟาน ไดค์ ก็ได้ย้ายไปอยู่กับ “ม้าลายเขียวขาว” ด้วยค่าตัว 2.8 ล้านปอนด์ (ราว 112.7 ล้านบาท) ในปี 2013 และเป็นการออกไปค้าแข้งในต่างแดนของเจ้าตัวเป็นครั้งแรกอีกด้วย

    การเลือกย้ายไปอยู่กับ เซลติก ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะ ฟาน ไดค์ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งเรื่องการเข้าใจเกม และจังหวะการเข้าปะทะ จนทำให้เขาสามารถยึดตัวจริงของทีมได้แบบถาวรโดยได้เล่นในรายการะดับประเทศ และฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตลอดช่วงเวลา 2 ฤดูกาล

     นอกจากนั้นในปี 2015 ฟาน ไดค์ ก็ถูกเรียกติดทีมชาติฮอลแลนด์ชุดใหญ่เป็นครั้งแรก กลายเป็นหนึ่งในแข้งดาวรุ่งที่ได้รับการจับตาในฟุตบอลลีกยุโรป

"ฟาน ไดค์"กับเส้นทางสู่ยอดกองหลังระดับโลก

สู่พรีเมียร์ลีก

     หลังจากนั้นกราฟชีวิตของกองหลังร่างยักษ์รายนี้ก็พุ่งขึ้นแบบติดลมบน หลังในปี 2015 เซาธ์แฮมป์ตัน จ่ายเงินจำนวน 13 ล้านปอนด์ (ราว 523.6 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าสูงทีเดียวสำหรับดาวรุ่งวัย 24 ปีที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมาย จนทำให้เกิดคำถามถึงเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนของทีมครั้งนี้

    ทว่า ฟาน ไดค์ กลับโชว์ฟอร์มได้นิ่งเกินอายุ และยกระดับกองหลังของทีม “นักบุญ” ให้ดีขึ้นมาแบบเห็นได้ชัด จนไม่มีข้อกังขาเกี่ยวกับฝีเท้าของเจ้าตัวอีกต่อไป

    หลังจากค้าแข้งในถิ่น เซนต์ แมรีส์ ในเพียง 1 ซีซั่น เซ็นเตอร์ทีมชาติฮอลแลนด์ได้รับการแต่งตั้งในขึ้นมาเป็นกัปตันทีมแทนที่ โชเซ ฟอนเต และมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของศึกอีเอฟแอล คัพ ฤดูกาล 2016-17 ได้ ทว่าเจ้าตัวโชคร้ายเหตุได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า จนพลาดช่วยทีมในเกมดังกล่าว และได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์เท่านั้น

"ฟาน ไดค์"กับเส้นทางสู่ยอดกองหลังระดับโลก

    ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมเป็นเหตุให้ ฟาน ไดค์ ได้รับความสนใจจาก ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เกน คลอปป์ ซึ่งตัวนักเตะเองก็มีความต้องการย้ายไปค้าแข้งกับ “หงส์แดง” เช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล กลับติดต่อกับนักเตะแบบผิดกฎส่งผลให้ถูกห้ามเจรจากับกองหลังผู้นี้ในช่วงตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ของปี 2017 ถึงกระนั้นในช่วงตลาดหน้าหนาวของปี 2018 ฟาน ไดค์ ก็ได้ย้ายไปอยู่ในถิ่น แอนฟิลด์ สมใจ หลัง ลิเวอร์พูล ยอมทุ่มเงินกว่า 75 ล้านปอนด์ (ราว 3 พันล้านบาท) ซึ่งเป็นสถิติโลกของกองหลังเพื่อเซ็นสัญญากับสตาร์รายนี้มาเสริมเกมรับ

"ฟาน ไดค์"กับเส้นทางสู่ยอดกองหลังระดับโลก

    โดยในช่วงแรกสื่อ และแฟนบอลทั่วโลกต่างมองว่าค่าตัว 75 ล้านปอนด์ของ ฟาน ไดค์ นั้นดูแพงเกินเหตุเมื่อเทียบกับชื่อชั้นรวมถึงความสำเร็จที่ผ่านมา จนถูกวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ อย่างไรก็ตามเจ้าตัวได้ใช้ผลงานตอกเสียงวิจารณ์ด้วยสถิติต่างๆที่เป็นสิ่งยืนยัน เช่น “หงส์แดง” แพ้ในลีกไปเพียง 4 นัด และเสียเพียง 32 ลูก ตลอด 50 นัดที่เขาลงสนามให้ทีม และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อซีซั่นที่แล้วแบบพลิกความคาดหมาย

    จนทำให้ขณะนี้มีการคาดการณ์กันว่าค่าตัวของ ฟาน ไดค์ พุ่งทะยานไปถึง 150 ล้านปอนด์ (ราว 6 พันล้านบาท) เป็นที่เรียบร้อย และกลายเป็นหนึ่งผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อย

    ทั้งหมดที่กล่าวมาคือเส้นทางในสายลูกหนังของ ฟาน ไดค์ ที่จะเก็นได้ชัดว่าเจ้าตัวมีพัฒนาการขึ้นมาอย่างชัดเจนโดยทุกอย่างไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่คือความพยายาม และความรักในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ส่งเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ