ในฐานะที่เป็นฟุตบอลรายการใหญ่สุดของเอเชียจึงไม่แปลกที่ทัวร์นาเมนต์นี้จะได้เห็นดาวเตะชั้นยอดของทวีปนี้ลงประชันฝีเท้ากันมากที่สุด
แต่ขณะเดียวกันนี่ก็อาจจะเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่รายการสุดท้ายของสตาร์บางรายด้วยเช่นกัน
อาเหม็ด มูบารัค (โอมาน)
อายุ 33 ปี
กองกลางตัวรับวัย 33 ปี จากมีไซเมียร์ ทีมระดับดิวิชั้่นสองของกาตาร์ ติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2003 และยิงได้ 18 ประตู จาการลงเล่น 156 นัดในสีเสื้อทีมชาติโอมาน ผ่านการสู้ศึกเอเชียน คัพ มาแล้ว 3 สมัย (ปี 2004, ปี 2007 และ ปี 2015)
สำหรับเอเชียน คัพหนนี้ซึ่งน่าจะเป็นเที่ยวสั่งลาดาวเตะเจ้าของรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า“กัลฟ์ คัพ 2017” อาจจะมีอะไรที่น่าเซอร์ไพรส์มาฝากแฟนๆก็เป็นได้
มาร์ค มิลลิแกน (ออสเตรเลีย)
อายุ 33 ปี
ดาวเตะที่เล่นได้ทั้งมิดฟลิด์ตัวรับและปราการหลังตัวกลาง อยู่ในชุดแชมป์เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา โดยการกลับมาป้องกันแชมปเที่ยวนี้อาจจะเป็นโอกาสป้องกันแชมป์หนสุดท้ายของกัปตันทีมซ็อคเกอร์รูส์ รายนี้ด้วย
สุนิล เชตรี (อินเดีย)
อายุ 34 ปี
กองเชียร์ช้างศึกน่าจะคุ้นหูกับชื่อของดาวยิงแดนภารตะรายนี้เป็นอย่างดี หลังจากนักเตะเพิ่งเหมา 2 ประตูในเกมที่ อินเดีย ไล่ถลุง ทีมชาติไทย 4-1
ดาวยิงจาก เบงกาลูรู เอฟซี ในลีกบ้านเกิด ติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2005 ผ่านประสบการณ์การลงเล่นเอเชียนคัพเมื่อปี 2011 รวมไปถึงเคยออกไปต่างประเทศกับแคนซัส ซิตี วิซาร์ดส์ (สหรัฐ) และสปอร์ติง ลิสบอน ทีมสำรอง (โปรตุเกส) มาแล้ว
ส่วนผลงานกับทีมชาติอินเดีย เขาลงเล่นให้บ้านเกิดมาแล้ว 105 นัด และยิงไป 67 ประตู เป็นรองเพียงคริสเตียโน โรนัลโด สตาร์โปรตุกีสรายเดียวเท่านั้น (85 ประตู) สำหรับทำเนียบนักเตะที่พังตาข่ายในนามทีมชาติมากที่สุดและยังคงลงรับใช้ทีมอยู่ในปัจจุบัน
อาเมอร์ ชาฟี (จอร์แดน)
อายุ 36 ปี
ผู้รักษาประตู วัย 36 ปี ลงเฝ้าเสาใประเทศบ้านเกิดมาแล้ว 140 นัด นับตั้งแต่ถูกเรียกมารับใช้ชาติหนแรกเมื่อปี 2002 โดยล่าสุดนอกจากฝีไม้ลายมือที่ไม่ธรรมดาแล้ว นายด่านรายนี้ยังถูกจดจำในฐานะที่เป็นมือกาวที่ยิงประตูคู่แข่งได้อีกด้วย
โดยย้อนกลับไปในเกมอุ่นเครื่องที่จอร์แดน เอาชนะ อินเดีย 2-1 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ชาฟี ถูกจดชื่อในฐานะผู้ยิงประตูขึ้นนำ 1-0 ให้กับทีมในนาทีที่ 25 จากการเตะเปิดเกมหน้าปากประตูตัวเองแต่ดันซัดจนบอลเด้งข้ามศีรษะนายทวารฝั่งตรงข้มเข้าไปอย่างเหลือเชื่อ
ปัจจุบัน ชาฟี ที่ค้าแข้งกับ ชาบับ อัลออร์ดอน ในลีกบ้านเกิด ผ่านประสบการณ์เอเชียน คัพ มาแล้ว 3 สมัย ปี 2004, ปี 2011 และ ปี 2015 โดยสามารถพา จอร์แดน ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ได้สำเร็จถึง 2 ครั้ง
สำหรับเอเชียน คัพ ที่ยูเออีเที่ยวนี้นายด่านจอมเก๋าน่าจะหวังพาประเทศบ้านเกิดไปไกลกว่าสองเที่ยวที่ผ่านมาเพื่อเป็นการสั่งลาเอเชียน คัพหนสุดท้ายของเจ้าตัว และเพียงแค่นัดแรกที่ลงบู๊รอบแบ่งกลุ่มนอกจากจะเก็บคลีนชีตเป็นประเดิม ชาฟี ยังช่วยให้ จอร์แดน สร้างเซอร์ไพรส์โค่นแชมป์เก่า ออสเตรเลีย ได้แบบพลิกความคาดหมาย 1-0 อีกด้วย
เจิ่ง จื้อ (จีน)
อายุ 38 ปี
เจิ่ง จื้อ (ซ้าย)
นอกจากเหนือจากบทบาทกัปตันทีม มิดฟิลด์มากประสบการณ์ยังถือเป็นดาวเตะแดนมังกรรายแรกๆที่ได้โอกาสไปค้าแข้งในยุโรป
เจิ่ง จื้อ ได้ค้าแข้งกับ ชาร์ลตัน แอธเลติก ในอังกฤษ นานถึง 2 ปี ระหว่างปี 2007-2009 และผลงานถือว่าเข้าตาเอามากๆ ลงเล่นไป 67 นัด ยิงได้ 9 ประตู
จากนั้นกองกลางยุคบุกเบิกย้ายมาสวมเสื้อกลาสโกว์ เซลติก อีกหนึ่งทีมยักษ์ใหญ์แดนสกอตต์ และที่นี่เขาสามารถทำได้ 1 ประตู จากการลงเล่น 16 นัด ก่อนที่ปี 2010 จะกลับมาค้าแข้งยังลีกบ้านเกิดกับ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ สโมสรที่เขาอยู่และลงเล่นมาถึงปัจจุบันพร้อมกับฝากสถิติ 15 ประตู จาก 186 เกม
บน วัย 38 ปี กัปตันผู้ซึ่งรับใช้ชาติมาตั้งแต่ปี 2002 ติดธงรับใช้ทีมชาติจีนมาแล้ว 104 นัด ได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะแห่งปีของทวีปเชียเมื่อปี 2013 ซึ่งถือเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญที่สุดในฐานะนักเตะอาชีพ และจากการที่ผ่านประสบการณ์บอลถ้วยรายการนี้มาโชกโชน
โดย เอเชียน คัพ 2019 ที่ยูเออี จะเป็นครั้งที่ 4 ของเขากับการเล่นฟุตบอลรายการใหญ่ของเอเชีย แต่หากนับผลงานที่เอกอุที่สุด ได้แก่ เอเชียน คัพ 2004 ที่สามารถพาทีมชาติจีนทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม้สุดท้ายจะเสียท่าให้ ญี่ปุ่น 1-3 แต่สำหรับแฟนบอลแดนมังกรไม่เคยลืมผลงานที่เขาได้ฝากไว้
ด้วยเหตุนี้ไม่แปลกที่ เจิ่ง จื้อ จะถูกยกให้เป็นกองกลางที่ดีที่สุดตลอดกาลของเอเชียน คัพ ที่เพิ่งประกาศรางวัลไปเมื่อปีที่แล้ว
ข้อมูล : sportskeeda
เรียบเรียง : พชร นาคจู
ข่าวที่เกี่ยวข้อง