ข่าว

ดรามาฟันดาบ "จบเหมือนไม่จบ"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผู้จัดการทีม ยืนยันเปลี่ยนนักกีฬาเพราะอันดับ-ฝีมือ

 เหตุการณ์ดรามา กีฬาฟันดาบไทย ชุดสู้ศึกเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดย “โอ๊ต” เรืองฤทธิ์ แหเกิด นักกีฬาฟันดาบทีมชาติไทย มือ 1 ในประเภทเซเบอร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบายความรู้สึกหลังถูกถอดรายชื่อออกจากการเล่นประเภทเดี่ยว ก่อนหน้าที่จะลงแข่งขันในวันที่ 20 สิงหาคม เพียงไม่ถึง 12 ชั่วโมง โดยนายชัยณภนท์ อเนกเวียง ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมฟันดาบ ได้ใส่ชื่อของ สรวิศ กิจศิริบุญ ลงเล่นแทน

 

พันเอก ชัยณภนท์ อเนกเวียง ผู้จัดการทีมเปิดใจว่า การส่งชื่อนักกีฬาให้คณะกรรมการจัดการแข่งขันเมื่อเดือน พฤษภาคม เจ้าภาพแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก ซึ่งตอนนั้นใส่ชื่อ เรืองฤทธิ์ ลงเล่นในประเภทเซเบอร์ บุคคลชาย แต่จากการประชุมผู้จัดการทีมเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม คณะกรรมการจัดแข่งขันแจ้งว่าในการแข่งขันประเภททีมจะนำคะแนนจากการลงเล่นประเภทบุคคลเป็นตัวชี้วัดจัดอันดับ จึงอนุญาตให้ทุกชาติเปลี่ยนแปลงผู้เล่นในประเภทบุคคลได้ ซึ่งปรากฏว่าช่วงหลัง เรืองฤทธิ์ ฝีมือตกลงไป ดูได้จากแรงกิ้งโลก ในศึกชิงแชมป์โลก ที่ประเทศจีน เมื่อเดือนกรกฎาคม ตนจึงต้องเลือกเอาคนที่ดีที่สุด พร้อมที่สุด ทำผลงานได้ดีที่สุด ไปเก็บคะแนน โดยนายกสมาคมกีฬาฟันดาบ ก็รับทราบเรื่องนี้ เพราะอยู่ในการประชุมผู้จัดการทีมด้วย

“อันดับ 1 ที่ เรืองฤทธิ์ หมายถึงนั้น คือ อันดับเมื่อตอนคัดเลือกนักกีฬาตั้งแต่ต้นปี หลังจากนั้น ก็จะมีการประลองหลายครั้ง เพื่อให้นักกีฬารักษาสภาพ และอันดับของตนเองไว้ เพราะหากนักกีฬาไม่มีวินัย ละเลยการฝึกซ้อม ฝีมือก็จะตกลงได้ทุกเมื่อ ผมได้แจ้งเรื่องนี้ต่อนักกีฬาโดยตลอด ทุกครั้งที่จะไปแข่งขัน หรือเก็บตัวฝึกซ้อมต่างประเทศ การติดทีมชาติ หรือเป็นมือ 1 ไม่ใช่เป็นตลอดไป หากฝีมือไม่พัฒนาขึ้น ก็ถูกแซงได้ตลอดเวลา” 

“จากการจัดอันดับของเว็บไซต์ fencingtimelive ซึ่งเป็นเว็บอย่างเป็นทางการของกีฬาฟันดาบโลก เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม สรวิศ​ มีคะแนนเป็นอันดับ 1 ของนักกีฬาไทย อยู่อันดับที่ 74 แต่ เรืองฤทธิ์ เป็นอันดับ 4 อยู่อันดับ 93 ผมจึงจำเป็นต้องเลือกคนที่ดีที่สุด ซึ่งผลการแข่งขันที่ออกมา สรวิศ ก็ถือว่าทำผลงานได้ดี เข้าถึงรอบ 16 คนสุดท้าย”

ผู้จัดการทีมฟันดาบไทย เผยถึงกระแสโจมตีเรื่องส่งเด็กเส้นลงแข่งขันว่า “ผมยืนยันว่าผมไม่เคยมีเด็กเส้น ไม่เคยรักใครชอบใครเป็นการส่วนตัว ผมรู้จักนักกีฬาฟันดาบทุกคน รู้จักไปถึงพ่อแม่ด้วยซ้ำ ผมเอาแรงกิ้งเป็นหลัก ผมตัดสินใจโดยไม่มีใครบอก หรือสั่งมา”

“หลังจากเกิดเรื่อง ผมยังไม่ได้คุยกับ เรืองฤทธิ์ เพราะเขาไม่ยอมคุยกับผม เลยมอบหน้าที่ให้โค้ชเป็นผู้ดูแล ผมอยากจะถามว่าเมื่อแรงกิ้งเป็นแบบนี้ จะให้ผมเลือกคนสุดท้ายเป็นทำหน้าที่ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น อย่าเอาความคิดกับความชอบส่วนตัว มารวมกับประเทศชาติ”

“ผมอยากจะฝากไปถึงผู้จัดการทีมทุกกีฬา มักจะมีปัญหาแบบนี้ หากผู้จัดการทีม ตามน้ำไม่ขัดแย้ง เพื่อให้เกิดความสงบ ก็ไม่รู้ว่าอนาคตของกีฬาไทยจะเป็นอย่างไร ถ้ามีใครพัฒนาฝีมือ ไม่สามารถลงเล่นได้ อนาคตกีฬาไทยคงมืดมน อยากให้ทุกคนคิดอีกมุม และถ้าจะเป็นคุณจะเลือกอย่างไร”

 

ในขณะที่ “โอ๊ต” เรืองฤทธิ์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า อันดับในชิงแชมป์โลกนั้น ตนตก 128 คน ซึ่งเป็นรอบเดียวกันกับ สรวิศ กิจศิริบุญ อันดับที่ต่างกัน เป็นเพียงแต่เรียงอันดับชื่อเท่านั้น ถ้าผู้จัดการจะยึดผลจากการแข่งขันจากชิงแชมป์โลกจริง ๆ แล้วจะมีการคัดเลือกทีมชาติเพื่อหาตัวจริง ตัวสำรองทำไม และผู้จัดการทีมก็ไม่ได้แจ้งอย่างชัดเจนว่า จะใช้ผลการแข่งขันรายการใด เป็นตัวตัดสินนักกีฬาตัวจริงและตัวสำรอง และที่ไม่ยุติธรรมเลย คือเปลี่ยนตัวผมไม่ถึง 12 ชั่วโมง มันบั่นทอนจิตใจอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม เรืองฤทธิ์ กล่าวว่า ตนได้รับกำลังใจอย่างมากจากคนรอบข้าง และพยายามให้กำลังใจตัวเอง เพราะยังมีภารกิจแข่งขันประเภททีมเซเบอร์ในวันที่ 22 สิงหาคม จะพยายามทำให้ดีที่สุด ตนยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งกัน ตนเป็นนักกีฬา ต้องการแข่งขันกีฬา ไม่ต้องการให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เมื่อมีปัญหาอยากให้แก้ไข มากกว่าแก้ต่าง สุดท้ายคืออยากจะได้กำลังใจจากแฟนกีฬา เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักกีฬาทำผลงานได้ดีขึ้น 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ