ข่าว

ส่องความพร้อมก่อนชิงดำศึก"เอฟเอ คัพ"ครั้งที่137

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ในวันเสาร์นี้แล้ว (19 พ.ค.) ศึกฟุตบอลถ้วยสุดท้ายของแดนผู้ดีในซีซั่น รวมถึงเป็นถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อย่าง เอฟเอ คัพ ซีซั่น 2017-2018 จะเป็นรอบชิงชนะเลิศ

     สำหรับฟุตบอลเอฟเอ คัพ ที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1871 ถือว่าเป็นหนึ่งรายการในวงการลูกหนังที่มีเสน่ห์มากที่สุด เพราะเริ่มชิงชัยจาก 736 ทีมทั่วประเทศมาจนถึงนัดชิงชนะเลิศที่หาผู้ชนะเพียง 1 เดียวเท่านั้น รวมไปถึงมักมีเหตุการณ์ “แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์” หรือทีมเล็กสามารถล้มทีมใหญ่ให้แฟนบอลได้ดูกันเสมอในรายการนี้

     โดยการชิงถ้วยเอฟเอ คัพ ครั้งที่ 137 ดังกล่าว จะเป็นการพบกันระหว่าง เชลซี ทีมอันดับ 4 จากตารางพรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 2 ซึ่งตำแหน่งแชมป์มีความสำคัญกับทั้ง 2 ทีมมากทั้งในเรื่องความสำเร็จ ที่หากทีมใดไม่ได้แชมป์นี้ขึ้นมาก็เท่ากับว่าฤดูกาลนี้พวกเขาจะปิดฉากด้วยมือเปล่า รวมถึงด้านจิตใจที่ทั้ง 2 ทีมแม้จะไม่ใช่อริกันโดยตรงแต่ก็มีอดีตร่วมกันอย่างมากมายจนส่งผลให้เป็นนัดชิงดำที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

แชมป์อำลาของ“คอนเต้”?

     ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องผิดคาดที่เห็น เชลซี ฟอร์มรูดเป็นอย่างมากในซีซั่นนี้ ทั้งในฟุตบอลลีก และฟุตบอลถ้วยอื่นๆ เนื่องจากพวกเขาคือแชมป์เก่าของศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อซีซั่นที่แล้วด้วยผลงานอันสุดยอด

     โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้ “สิงโตน้ำเงินคราม” ของ อันโตนิโอ คอนเต้ เรียกได้ว่าล้มเหลวเลยก็ว่าได้ คือเรื่องการซื้อ-ขายนักเตะ ที่พวกเขาเสีย ดิเอโก้ คอสต้า ดาวยิงเลือดร้อนซึ่งทำไปถึง 22 ประตูในซีซั่นที่แล้วออกจากทีม เหตุมีปัญหากับ คอนเต้ จนส่งผลให้การจบสกอร์ของทีมมีปัญหาแม้จะได้ตัว อัลบาโร่ โมราต้า กองหน้าทีมชาติสเปนมาแทนที่ แต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาช่วยทีมได้

     เช่นเดียวกับในตำแหน่งกองกลางที่ทีม “สิงห์บลูส์” เสีย เนมานย่า มาติช มิดฟิลด์จอมเก๋าให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วได้ตัว ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ ห้องเครื่องของ โมนาโก มาแทนที่ แต่ดาวเตะทีมชาติฝรั่งเศสกลับโชว์ฟอร์มได้ต่ำกว่ามาตรฐานจนทำให้แดนกลางของทีมมีปัญหาอย่างชัดเจน

     รวมไปถึงแผนการเล่น 3-4-3 ที่เคยใช้ได้ผลเมื่อฤดูกาลที่แล้ว มาในปีนี้ดูเหมือนว่าเหล่าคู่แข่งจะจับทางได้ และเอาชนะแผนนี้ได้แบบหมดจด จนส่งผลให้พวกเขาจบฤดูกาลเพียงอันดับ 5 และได้ไปเล่นเพียงฟุตบอลยูโรป้า ลีกเท่านั้น

     และแม้ทีมจะได้เข้าชิงในฟุตบอล เอฟเอ คัพ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ คอนเต้ อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการทีม เชลซี ต่อไปได้ในฤดูกาลหน้า และนี่อาจเป็นแชมป์อำลาของเจ้าตัวในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ทั้งๆที่เพิ่งเข้ามาคุมทีมได้เพียง 2 ซีซั่น

การล่าถ้วยเอฟเอคัพสมัยที่ 13 ของ“แมนฯยูไนเต็ด”

     แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของ โชเซ่ มูรินโญ ถือว่าทำได้ดีในระดับนึง หลังจากจบฤดูกาลในอันดับ 2 ของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ รวมถึงได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ

     ถึงกระนั้นแฟนบอลของทีม “เร้ด เดวิลส์” กลับไม่ค่อยพอใจผลงานของทีมนัก โดยเฉพาะในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ที่พวกเขาพลาดท่าตกรอบด้วยการพ่ายคาบ้านต่อ เซบียา 1-2 ทั้งๆที่เป็นต่อกว่าหลายช่วงตัว ซึ่งเกิดจากการที่เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีสเน้นเกมรับมากเกินไป ทั้งๆที่มีแข้งในเกมรุกระดับโลกมากมายอยู่ในทีม ทั้ง โรเมลู ลูกากู, มาร์คัส แรซฟอร์ด, อเล็กซิส ซานเชซ และปอล ป็อกบา

     ถึงจะถูกวิจารณ์เช่นไรแต่ มูรินโญ ก็ยังยืนยันปรัชญาของตัวเองว่าจะไม่ยอมเปลี่ยนสไตล์การเล่น เพราะเชื่อมั่นว่าคือแผนการที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ขณะที่ในรอบชิงชนะเลิศครั้งนี้ “ปีศาจแดง” หมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างมากที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 13 ของสโมสรให้ได้ หลังคว้าถ้วยนี้ล่าสุดเมื่อปี 2015–16 เนื่องจากไม่อยากจบฤดูกาลด้วยมือเปล่า หลังปีที่แล้วซิวดับเบิลแชมป์ ทั้ง ยูโรปา ลีก และอีเอฟแอล คัพ มาครอง

การวัดกึ๋นของสองกุนซือ

    สำหรับ คอนเต้ และมูรินโญ นั้น ได้ชื่อว่าเป็นกุนซือจอมแท็คติกของวงการกันทั้งคู่ เนื่องจากเป็น 2 เทรนเนอร์ที่เน้นเรื่องรายละเอียดของเกมในทุกๆนาที โดยไม่สนเรื่องความสวยงามของฟุตบอล แต่โฟกัสที่ผลการแข่งขันมากกว่า

     โดยทั้ง 2 กุนซือเคยดวลเดือดกันมาแล้วตั้งแต่สมัยคุมทีมในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อปี 2016 ซึ่งขณะนั้น คอนเต้ คุมทัพ อตาลันตา อยู่ ขณะที่ มูรินโญ คุม อินเตอร์ มิลาน ซึ่งผลปรากฏว่าทั้ง 2 ทีมเสมอกันไป 1-1

    จนกระทั่งในปี 2016 ที่ คอนเต้ เข้ามารับงานเป็นเฮดโค้ชของ เชลซี เป็นซีซั่นแรก และ มูรินโญ เป็นเทรนเนอร์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้ทั้งคู่ได้พบกันอีกทั้งหมด 5 ครั้งในทุกรายการจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผลปรากฏว่า “สิงห์บลูส์” ของผู้จัดการทีมชาวอิตาเลียนเป็นฝ่ายกำชัยได้มากกว่า ด้วยการชนะไป 3 ครั้ง ขณะที่ “ปีศาจแดง” ชนะ 2 ครั้ง

   และการเจอกันครั้งที่ 6 ของทั้งคู่ในแดนผู้ดีดังกล่าว เชื่อว่ารูปเกมจะเต็มไปด้วยแท็คติก และไม่มีการบุ่มบ่ามบุกใส่กันอย่างแน่นอน เพราะต่างคนต่างก็รู้ถึงแผนการของอีกทีมเป็นอย่างดี และหากใครเสียท่าก่อนเพียงลูกเดียวนั่นหมายถึงตำแหน่งแชมป์ที่อาจหลุดลอยไปก็เป็นได้

     แนวโน้มในเกมนี้น่าจะโฟกัสไปที่แดนกลาง ซึ่งจะเป็นการเจอกันของ เชส ฟาเบรกาส และ เอ็นโกโล ก็องเต้ กับ ปอล ป็อกบา และเนมานย่า มาติช ซึ่งถ้าดูจากฟอร์มโดยรวมแล้วฝ่ายหลังดูดีกว่าเล็กน้อย เหตุ มาติช เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของ “ปีศาจแดง” นั่นก็คือตัวรับผิดชอบในพื้นที่สุดท้ายก่อนถึงแดนหลังของทีมได้เป็นอย่างดี ขณะที่ ป็อกบา ก็ผลงานกระเตื้องขึ้นมาในช่วงหลัง โดยเฉพาะเกมรุกที่เจ้าตัวมีบทบาทกับทีมมากขึ้น

     ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ทั้ง ผู้รักษาประตู, กองหลัง และกองหน้า ทั้ง 2 ทีมีมความใกล้เคียงกันจะอยู่ที่ว่าในแมตช์ดังกล่าวทีมใดจะเรียกศักยภาพของนักเตะออกมาได้มากกว่ากันเท่านั้น

 

สถิติอื่นๆที่น่าสนใจ

    โดย เชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจอกันมาแล้วทั้งหมด 161 นัดในทุกรายการ ซึ่งผลปรากฏว่าเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เอาชนะได้มากกว่าด้วยจำนวน 63 ครั้ง ขณะที่ เชลซี ชนะ 48 ครั้ง

    ส่วนในฟุตบอลเอฟเอ คัพ อังกฤษ ทั้ง 2 ทีมเคยพบกันมาทั้งหมด 4 ครั้ง แล้วเป็น “สิงโตน้ำเงินคราม” ที่เอาชนะไปได้ 2 ครั้งและ เสมอกันไปอีก 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดที่ทั้งคู่พบกัน คือในฤดูกาล 2016-2017 ที่ เชลซี เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 1-0

     แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้แชมป์เอฟเอ คัพ ไปครองแล้วถึง 12 สมัย (1908–09, 1947–48, 1962–63, 1976–77, 1982–83, 1984–85, 1989–90, 1993–94, 1995–96, 1998–99, 2003–04 และ2015–16) ซึ่งหากคว้าแชมป์ในปีนี้ได้จะทำให้พวกเขามีสถิติได้ถ้วยในรายการดังกล่าวมากที่สุดเทียบเท่ากับ อาร์เซนอล ด้วยจำนวน 13 สมัย (1930, 1936, 1950, 1971, 1979, 1993, 1998, 2002, 2003, 2005, 2014, 2015 และ2017) ขณะที่ เชลซี คว้าแชมป์ในรายการนี้ไปแล้ว 7 สมัย (1969–70, 1996–97, 1999–2000, 2006–07, 2008–09, 2009–10 และ2011–12)

     และทั้งหมดนี้คือการตรวจความพร้อมก่อนฟุตบอลเอฟเอ คัพ 2017-2018 รอบชิงชนะเลิศจะระเบิดศึกขึ้นในวันที่ 19 พ.ค.นี้ ซึ่งสุดท้ายต้องมาดูกันว่าทีมใดจะเป็นฝ่ายคว้าแชมป์สุดท้ายของฟุตบอลอังกฤษเพื่อเป็นการปิดซีซั่นด้วยการมีถ้วยติดมือ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ