ศูนย์โด๊ปไทยล้าสมัย

 "เสธ.ยอด" พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย รองประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า ในการประชุมสมัชชาสหพันธ์กีฬานานาชาติ “สปอร์ต แอคคอร์ด 2018” ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหาการเมืองระดับโลก ซึ่งส่งผลกระทบกับการกีฬา เช่น ไม่ยอมส่งนักกีฬาไปแข่งขันหากประเทศเจ้าภาพเป็นคู่ขัดแย้งกัน ไอโอซี จึงเป็นตัวกลางทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ซึ่งก็จะเห็นได้จากเกาหลีเหนือ ส่งนักกีฬามาแข่งขันที่เกาหลีใต้ ในศึกโอลิมปิกเกมส์ ฤดูหนาว 2018 เมื่อเดือน ก.พ.

 “เรื่องสารต้องห้าม ก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ โดยปัจจุบัน ไอโอซี พบว่ามีนักกีฬาใช้สารต้องห้ามจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น กรีฑา, ว่ายน้ำ, มวยปล้ำ, จักรยาน, ยกน้ำหนัก จึงนำมาหารือเกี่ยวกับการพิจารณาบรรจุลงชิงชัยในโอลิมปิกเกมส์ และในฐานะที่ผมเป็นรองประธานสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ คนที่ 1 (ไอดับเบิ้ลยูเอฟ) ได้เตรียมเสนอบทลงโทษหากพบนักยกน้ำหนักใช้สารต้องห้าม จะมีการเก็บรวมรวบสถิติ เพื่อลงโทษ ลดจำนวนโควตาในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ของประเทศนั้น ๆ ด้วย”  

    พล.ต.อินทรัตน์ ในฐานะประธานสหพันธ์สมาคมกีฬาชาติ (ฟอนซา) กล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนค่อนข้างเป็นห่วงเกี่ยวกับศูนย์ตรวจสอบสารต้องห้ามในนักกีฬา ที่ตั้งอยู่ที่ ม.มหิดล ค่อนข้างล้าสมัย เนื่องจากปัจจุบันมีการประกาศสารต้องห้ามชนิดใหม่ขึ้นมามากขึ้น บางครั้งนักกีฬารับประทานอาหารเสริม, ยาบำรุง หรือยารักษาโรค ที่เมื่อก่อนไม่มีส่วนประกอบสารต้องห้าม แต่ปัจจุบันอาจมีสารประกอบบางตัวที่เพิ่งบรรจุเป็นสารต้องห้ามชนิดใหม่ แม้จะนำไปตรวจที่ศูนย์ฯ ม.มหิดล ก็อาจจะไม่พบสารต้องห้าม ขณะที่ศูนย์ตรวจสอบสารต้องห้ามที่มีความทันสมัยในต่างประเทศ เช่น เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี หรือที่เมืองมอนทรีมออล ประเทศแคนาดา มีความละเอียดกว่า หากเกิดพบสารต้องห้ามขึ้นมา ก็จะส่งผลเสียต่อนักกีฬาและประเทศชาติอย่างแน่นอน 

    “ขณะนี้ ฟอนซ่า ได้รวมตัวกันหลายสมาคมกีฬา เพื่อเสนอของบประมาณจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติในการปรับปรุงและจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจสารต้องห้ามรุ่นใหม่ คาดว่าจะใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งผมขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญมากต่อนักกีฬาไทย เพราะหากล่าช้าอาจเกิดความเสียหายตามมามาก” ประธานฟอนซา กล่าวในตอนท้าย