ข่าว

3ปัจจัยส่งแมนฯซิตีจ่อคว้าแชมป์ลีก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผ่านไปแล้ว 32 นัดกับศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ถึงแม้ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี จะมีโอกาสอันดีในการปิดจ๊อบคว้าแชมป์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหากคว้า 3 คะแนนสำคัญ

     แต่พวกเขากลับถูก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับร่วมเมืองบุกมาเผาเครื่องได้ถึงถิ่น 3-2 ทำให้การฉลองแชมป์ต้องยืดออกไป อย่างไรก็ตามหากพวกเขาสามารถเก็บชัยเหนือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในวันอาทิตย์นี้ (15 เม.ย.) ขณะที่ “ปีศาจแดง” ทีมรองจ่าฝูงที่มีแต้มตามหลังพวกเขาอยู่ 13 คะแนนไม่สามารถเอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ได้ พวกเขาก็จะหยิบแชมป์ลีกมาครองเป็นสมัยที่ 5 ต่อจากฤดูกาล 1936-37, 1967-68, 2011-12 และล่าสุดคือ 2013-14
     แม้ทางทฤษฎี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะมีโอกาสในการแซงคว้าแชมป์มาครองได้ แต่ทางปฏิบัติ แมนเชสเตอร์ ซิตี มีโอกาสคว้าแชมป์มากกว่า 95% แล้วจากปัจจัยหลัก 3 ข้อที่เตรียมส่งพวกเขาประสบความสำเร็จในฟุตบอลลีกสูงสุดของแดนผู้ดีปีนี้

การซื้อตัวที่ถูกจุด
     ต้องยอมรับว่าการซื้อ-ขาย นักเตะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่มี ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาเศรษฐีลูกหนังอันดับ 1 บนเกาะอังกฤษ พร้อมสนับสนุนเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่
โดยในปีแรกที่ เป๊ป เข้ามาคุมทัพเมื่อปี 2016 เขาก็สนองนโยบายของทีมอย่างเต็มที่ด้วยการใช้งบไปถึง 171.5 ล้านปอนด์ (ราว 3.8 พันล้านบาท) ด้วยการดึงสตาร์ดัง เช่น อิลคาย กุนโดกัน, เลรอย ซาเน, กาเบรียล เชซุส และโนลิโต เข้ามาเสริมทัพ
สำหรับหลายๆคนที่ซื้อเข้ามาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ที่น่าผิดหวังก็มีไม่น้อย ทั้ง จอห์น สโตนส์ ที่ได้รับบาดเจ็บบ่อยจนส่งผลกระทบกับฟอร์ม รวมถึง เคลาดิโอ บราโว ซึ่งเป็นศิษย์รักของ กวาร์ดิโอลา ตั้งแต่อยู่ บาร์เซโลนา โดยหวังว่าจะเข้ามาแทนที่ โจ ฮาร์ท ได้ แต่ฟอร์มของเขากลับดร็อปลงไปเฉยๆจนต้องให้ วิลลี่ กาบาเยโร มายึดตำแหน่งตัวจริงแทน และสุดท้ายทำให้ทีมไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆมาครองได้เลยในปีนั้น
     เป็นเหตุให้ในซีซั่นนี้ เฮดโค้ชชาวสแปนิช หมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างมากกับการซื้อนักเตะเพื่อมาอุดช่องโหว่ของทีมโดยเฉพาะในเกมรับ และนักเตะที่คุ้มค่าที่สุดในซีซั่นนี้ของพวกเขาคงจะหนีไม่พ้น เอแดร์สัน ที่ “เรือใบสีฟ้า” ยอมทุ่มเงินกว่า 34.7 ล้านปอนด์ (ราว 1.48 พันล้านบาท) เพื่อดึงตัวนายทวารทีมชาติบราซิลรายนี้จาก เบนฟิกา มาร่วมทัพ
     จอมหนึบวัย 24 ปีรายนี้ มีสถิติที่ยอดเยี่ยมด้วยการเซฟไปแล้วถึง 52 ครั้ง และเสียเพียง 24 ลูก นอกจากนั้นเจ้าตัวช่วยให้ทีมเก็บคลีนชีทได้ถึง 14 นัด ซึ่งหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในฤดูกาลที่แล้วพวกเขาเสียประตูน้อยลงถึง 14 ลูกเลยทีเดียว เป็นเหตุให้ทีมสามารถเก็บแต้มที่ควรจะได้มาครองในหลายๆนัด และจ่อให้พวกเขาขึ้นแท่นเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนี้

ปรัชญาของ“กวาร์ดิโอลา”
    เป็นที่ทราบกันดีว่าเทรนเนอร์วัย 47 ปีรายนี้เป็นโค้ชจอมแท็คติกและปรัชญา โดยเขานำเรื่องเหล่านี้มาใช้ในการคุมทีมจนทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดจากซีซั่นที่แล้ว พร้อมเป็นทีมที่ดุดันในเกมรุก และยังมีเกมรับที่แข็งแกร่งอีกด้วย
    สิ่งที่กุนซือรายนี้ทำไม่ใช่แค่เรื่องในสนามเท่านั้น แต่เป็นการแทรกซึมไปถึงเรื่องต่างๆรอบตัว เริ่มจากการ “ให้ใจ” ลูกทีม เนื่องด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี เป็นทีมที่มีนักเตะซูเปอร์สตาร์อยู่เยอะ นั่นย่อมทำให้เกิดคำว่า “อีโก้” ที่ทุกคนต่างมีความคิดของตนเอง และอาจทำให้สปิริตทีมเสีย ซึ่ง เป๊ป ที่ผ่านมาการคุมทัพสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง บาร์เซโลนา และบาเยิร์น มิวนิค ย่อมคุ้นเคยในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี เป็นเหตุให้เขาคิดหาทางแก้ด้วยการเริ่มเข้าหาลูกทีมด้วยหลายวิธีการ ทั้งการจำชื่อเล่นของลูกทีม, ร่วมทานข้าวกับลูกทีม รวมถึงพานักเตะไปเลี้ยงข้าวในบางโอกาสเพื่อให้ “กำแพง” ระหว่างเจ้าตัวกับนักเตะหมดไป และส่งผลให้การทำงานง่ายขึ้น
     นอกจากนั้นแล้ว เป๊ป ยังใช้วีธีการซ้อมให้สนุก เนื่องจากทีมของเขามีการเล่นที่เน้นเกมรุกเป็นหลักทำให้เขาต้องเก็บรายละเอียดในการซ้อมมากที่สุด หากมีใครที่เล่นผิดไปจากที่คิดเขาจะต้องถ่ายทอดทุกอย่างใหม่เพื่อให้เข้าใจตรงกันโดยไม่มีการตำหนิ ซึ่งทำให้บรรยากาศของทีมผ่อนคลาย
    ด้วยวิธีการทั้งหมดทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี มีผลงานแบบติดลมบนด้วยการเอาชนะ ถึง 17 นัดจาก 18 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก พร้อมเป็นการเก็บชัยชนะติดต่อกันถึง 16 นัดซึ่งมากกว่าสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ อาร์เซนอล เคยทำได้ 14 เกมในลีกเมื่อปี 2002

ศักยภาพนักเตะ
    ด้วยแผนการเล่นของ เป๊ป ที่เน้นเกมรุก และการเคลื่อนที่ตลอดเวลาซึ่งเข้ากับสไตล์ของนักเตะในทีมเป็นอย่างมาก โดยแท้จริงแล้วเกมรุกของพวกเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่ซีซั่นก่อน เพราะสามารถยิงได้ถึง 80 ลูก เป็นรองเพียง เชลซี และสเปอร์ส แต่ด้วยเกมรับที่หละหลวมทำให้พวกเขาไม่ถึงฝั่งฝัน อย่างไรก็ตามในซีซั่นนี้อดีตเทรนเนอร์ บาร์เซโลนา สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างหมดจดทำให้ทีมเกิดความสมดุลทั้งในเกมรุกและเกมรับ ซึ่งส่งผลต่อการดึงศักยภาพของนักเตะในทีมออกมาอย่างเต็มที่
    โดยเป็นที่สังเกตได้ว่านักเตะในเกมรุกของพวกเขาต่างมีฟอร์มอันยอดเยี่ยมกันแทบทุกคน ทั้ง เลรอย ซาเน ปีกทีมชาติเยอรมัน ทำ 8 ประตูกับ 11 แอสซิสต์, ดาบิด ซิลบา ทำ 8 ประตูกับ 11 แอสซิสต์, เควิน เดอ บรอยน์ ทำ 7 ประตูกับ 11 แอสซิสต์, ราฮีม สเตอร์ลิง ทำ 16 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ และเซร์คิโอ อเกวโร ที่ทำ 21 ประตูกับ 6 แอสซิสต์ จนช่วยให้ทีมทำประตูรวมไปแล้วกว่า 88 ลูก
   นอกจากนั้นแล้วนักเตะในตำแหน่งอื่นๆก็ทำผลงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้ง นิโคลัส โอตาเมนดี ปราการหลังซึ่งทำสถิติจ่ายบอลมากที่สุดในลีกที่ 2,798 ครั้ง รวมถึง แฟร์นันดินโญ และอิลคาย กุนโดกัน ซึ่งคุมเกมในแดนกลางได้หมดจด เป็นเหตุให้พวกเขาแทบจะไม่มีจุดอ่อนให้ต่อกร และกลายเป็นหนึ่งในซีซั่นที่สมบูรณ์แบบของพวกเขาตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา
    ด้วย 3 ปัจจัยที่กล่าวมาคือจุดสำคัญที่เตรียมส่งให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นสมัยที่ 5 ของสโมสร และคงอีกไม่นานเกินรอที่พวกเขาจะได้ฉลองแชมป์ที่ 2 ของทีมในฤดูกาลนี้ต่อจาก อีเอฟแอล คัพ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ