ข่าว

“บรู๊ซ ลี” เกี่ยวข้องกับ MMA อย่างไร

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

MMA คือ ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน

MMA ย่อมาจากคำว่า MIXED MARTIAL ARTS แปลเป็นไทยคือ ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน ซึ่งการแข่งขัน MMA ก็หมายถึงการนำเอาศิลปะการต่อสู้ทุกรูปแบบในโลกนี้มาห้ำหั่นกันบนเวที ซึ่งก็มีมากมายทั้ง มวยไทย มวยสากล คาราเต้ ยิวยิตสู ยูโด มวยปล้ำ กังฟู ไอคิโด้ โดยเปิดโอกาสให้นักสู้ทุกคนสามารถใช้ศิลปะการต่อสู้ที่ตนเองถนัด ออกมาต่อกรกับคู่ต่อสู้  ซึ่งหากมีความชำนาญการต่อสู้มากกว่า 1 รูปแบบ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการปิดบัญชีคู่ต่อสู้ได้ง่ายขึ้น

ประวัติของกีฬา MMA

MMA มีจุดเริ่มต้นขึ้นเมื่อราว 6,000 ปีก่อน โดยต้นกำเนิดอยู่ที่เมืองจีน พื้นฐานหลักอยู่ที่การโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยมือเปล่าในรูปแบบต่างๆ เช่น ต่อย ทุ่ม ล็อค หรือทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ ซึ่งในอดีตนั้นมีการเล่าลือว่ากองกำลังทหารที่มีเชื้อสายฮั่น ล้วนเข้ารับการฝึกซ้อมการต่อสู้เหล่านี้เพื่อนำไปใช้จริงในสนามรบ ใช้เข่นฆ่าคู่ต่อสู้ยามคับขันที่อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายเกิดไม่สามารถงานได้ ก่อนจะถูกพัฒนามาเป็นกีฬาในภายหลัง และตัดท่าการต่อสู้ที่มีความอันตรายออกไป

MMA เริ่มเข้ามามีบทบาทในวงการกีฬาต่อสู้ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปจำนวนมากที่ได้ชมการต่อสู้ MMA ได้แสดงความสนใจ ถึงขั้นฝึกฝนเพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันตัวเอง รวมถึงเข้าร่วมแข่งขันรายการต่างๆ และได้รับความนิยมขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงช่วงปี 1960 จากการปรากฏตัวของ “บรู๊ซ ลี” ตำนานนักแสดงและผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ ที่เข้ามามีอิทธิพลในวงการต่อสู้โดยแท้จริงจากผลงานการแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องต่างๆ และความสามารถด้านหมัดมวยที่เป็นเลิศ เขาได้กล่าวประโยคหนึ่งที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักสู้ทุกคนบนโลกนี้ได้จดจำและนำไปปรับใช้บนสังเวียนว่า

“นักสู้ที่เก่งที่สุด หาใช่คนที่มีความชำนาญเรื่องมวย คาราเต้ หรือ ยูโด เพียงอย่างเดียว แต่เป็นคนที่สามารถนำการต่อสู้หลากหลายรูปแบบมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน และประยุกต์ใช้กับตัวเองเป็นอย่างดี”  พญามังกร กล่าว

 ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ รายการทัวร์นาเมนต์ MMA ที่มีระบบการชิงแชมป์โลกอย่างเป็นทางการก็คือรายการ ชูโต (Shooto) ของญี่ปุ่น เมื่อปี 1989 โดยเริ่มต้นนั้นนักสู้ส่วนใหญ่ที่เข้าชิงแชมป์ล้วนแต่เป็นชาวญี่ปุ่น ก่อนจะมีการปรับเปลี่ยนให้มีนักสู้จาก บราซิล ที่เป็นต้นกำเนิดของศิลปะการต่อสู้แบบ บราซิเลียน-ยิวยิตสู เข้ามาร่วมต่อสู้จนถึงกับจัดรายการแยกให้โดยเฉพาะ ซึ่งด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นทำให้มีรายการต่อสู้รูปแบบ MMA ถูกจัดขึ้นอย่างกว้างขวางมากมาย

 อย่างไรก็ดี จุดเปลี่ยนสำคัญของวงการ MMA ก็มาถึงในปี 1993 เมื่อกลุ่มคนที่หลงใหลศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน ร่วมกันจัดตั้งทัวร์นาเมนต์ที่มีชื่อว่า อัลติเมท ไฟท์ติง แชมเปียนชิป (The Ultimate Fighting Championship หรือย่อสั้นๆ ว่า UFC) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ สหรัฐอเมริกา พร้อมจัดการแข่งขันครั้งแรกที่ เดนเวอร์ โคโลราโด้ ในปีดังกล่าว ซึ่งการมาถึงของ UFC ได้ทำให้ชาวอเมริกันที่เคยชื่นชอบกีฬามวยสากลเป็นหลัก แบ่งใจหันมาชม MMA มากขึ้น มีนักสู้หลายเชื้อชาติตบเท้าเข้าร่วมการแข่งขันรายการนี้อย่างต่อเนื่อง มีการถ่ายทอดสดไปยังประเทศต่างๆ  สร้างฐานคนดูให้มากขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก  

 กติกา มารยาท และรูปแบบการต่อสู้สไตล์ MMA

 การต่อสู้แบบ MMA นั้นเปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งชายและหญิง สามารถนำศิลปะการต่อสู้ที่ตนเองถนัดเช่น มวยไทย มวยสากล คาราเต้ ยิวยิตสู ยูโด มวยปล้ำ กังฟู ไอคิโด้ มาใช้บนเวทีซึ่งล้อมรอบด้วยกรงเหล็กได้อย่างไม่จำกัด รูปแบบการสู้มีทั้งการต่อย เตะ ล็อค ทุ่ม โดยมีเป้าหมายเดียวคือทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้ให้ได้ ขณะเดียวกัน ก็มีการแบ่งพิกัดน้ำหนักเป็นรุ่นต่างๆ แบบเดียวกับมวยสากลเช่น ฟลายเวต (115 ปอนด์), แบนตัมเวต (125 ปอนด์), เฟเธอร์เวต (135 ปอนด์), เวลเตอร์เวต (155 ปอนด์) หรือรุ่นใหญ่สุด เฮฟวี่เวต (205 ปอนด์)

 นอกจากการต่อสู้ไฟต์ปกติแล้ว ทัวร์นาเมนต์ MMA รายการต่างๆ อาทิเช่น UFC หรือ One Championship ก็ได้มีการจัดทำเข็มขัดแชมป์ในรุ่นต่างๆ พร้อมเงินรางวัลสูงสุดให้แก่ผู้ชนะในแต่ละรุ่นด้วย เรียกได้ว่าใครก็ตามที่สามารถพิชิตคู่ต่อสู้และถือครองเข็มขัดแชมป์ของรุ่นตัวเองได้ ก็จะได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดนักสู้เฉกเช่นเดียวกับวงการอื่นๆ  และท้าทายให้เหล่านักสู้รายอื่นๆเข้ามาพิชิตแย่งเข็มขัดด้วยเช่นกัน

สำหรับการแข่งขัน MMA หากเป็นไฟต์ปกติทั่วไปก็จะทำการต่อสู้กันทั้งหมด 3 ยก แบ่งเป็นยกละ 5 นาที พักได้ไม่เกิน 1 นาที ขณะที่คู่เอกที่มีการเอาเข็มขัดแชมป์มาเป็นเดิมพัน ก็จะเพิ่มเป็น 5 ยก เวลาเท่ากัน โดยช่วงพักยกสามารถให้ทีมงานของแต่ละฝั่งเข้าไปแนะนำ หรือให้น้ำ ประคบน้ำแข็ง ฟื้นฟูกล้ามเนื้อนักกีฬาได้ ส่วนการตัดสินหากการต่อสู้จบลงตามเวลากำหนด ไม่มีการน็อคเกิดขึ้น ก็จะเป็นหน้าที่ของผู้ตัดสินข้างสนามที่จะต้องให้คะแนนและเลือกผู้ชนะที่แสดงความสามารถทางการต่อสู้ได้ดีที่สุด 

 ทั้งนี้ แม้จะเปิดโอกาสให้นักสู้สามารถใช้ศิลปะการต่อสู้ที่ตัวเองถนัดออกมาใช้ได้ แต่ก็มีกฎกติกาบังคับให้นักสู้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างขาวสะอาด และห้ามใช้ท่าที่ทำให้คู่แข่งได้รับอันตรายถึงขั้นพิการเช่น จิ้มตา, ตีศอก, กระแทกเข่า หรือจับอีกฝ่ายทุ่มโดยเอาหัวปักพื้น เป็นต้น

 การตัดสินผู้ชนะในการต่อสู้ MMA

1. คู่ต่อสู้ขอยอมแพ้

2. จับคู่ต่อสู้น็อคก่อนกำหนด

3. กรรมการสั่งยุติการแข่งขัน

4. นักสู้ทำผิดกติกาอย่างรุนแรง จับแพ้ฟาล์ว

5. ตัดสินด้วยคะแนนเมื่อครบยก

 อุปกรณ์ที่ต้องใช้ก่อนต่อสู้ MMA

1. สวมฟันยางป้องกันฟันหัก

2. สวมนวมที่มือและสนับแข้ง

3. สวมกระจับ (สำหรับผู้ชาย)

4. กางเกงรัดรูปแบบไม่มีซิป

 ท่าอันตรายที่ห้ามใช้ในการแข่งขัน

1. ห้ามโจมตีที่ดวงตาคู่ต่อสู้

2. ห้ามโจมตีที่บริเวณคอ หรือหลังคอ

3. ห้ามใช้ท่าทุ่มที่เจตนาให้ศีรษะของคู่ต่อสู้กระแทกพื้น

4. ห้ามโจมตีบริเวณใต้เข็มขัด

5. ห้ามใช้ขาโจมตีศีรษะคู่ต่อสู้ขณะที่อีกฝ่ายล้มลง

6. ห้ามใช้ฟันกัดอวัยวะต่างๆ ของฝั่งตรงข้าม

7. ห้ามใช้มือบิดข้อเท้าคู่ต่อสู้

8. ห้ามใช้ศอกหรือท่อนแขนโจมตีคู่ต่อสู้

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ