“วีเออาร์” ครั้งแรกกับฟุตบอลไทย

ปี 2018 วงการฟุตบอลไทยนำระบบ Video Assistant Referee หรือ VAR มาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในการแข่งขันฟุตบอล ออมสิน ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 2018 ระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่สนามศุภชลาศัย เมื่อวันที่ 19 มกราคม

VAR เป็นระบบที่ริเริ่มมาจาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เมื่อปี 2016 โดยมีหน้าที่ช่วยผู้ตัดสินในการตัดสินใจเหตุการณ์สำคัญๆของการแข่งขันฟุตบอล อาทิ ลูกทำประตู, จุดโทษ, ใบแดง เป็นต้น โดยจะนำเอา กล้องจำนวน 8 ตัว ไปติดตามจุดต่างๆ แบะนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการแข่งขันฟุตบอลต่างประเทศ อาทิ เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐ อเมริกา, เอลีก ออสเตรเลีย, กัลโช เซเรีย อา อิตาลี

พัณณิภา คำนึง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผู้ตัดสิน กล่าวว่า "การเรียกใช้ VAR สิทธิ์ขาดจะอยู่ที่ผู้ตัดสินในสนามเพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่สามารถไปบอกสั่งผู้ตัดสินได้ว่าต้องใช้ กดดันหรือไม่ต้องถามผู้ตัดสินในสนาม หลักการของ VAR มันชัดเจนอยู่แล้วว่า สิทธิ์ขาดมันอยู่ที่ผู้ตัดสิน ผู้อื่นไม่มีสิทธิที่จะไปเรียกร้อง แม้แต่ช่วงที่มีการใช้ ทางฝ่ายผู้ตัดสินจะไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทีม หรือ สื่อมวลชน เข้ามาดูด้วยได้ เพราะนี่ถือเป็นพื้นที่เทคนิค หากมีใครมาขอดู หรือเข้ามาในพื้นที่จะผิดกฏทันที ตาม Laws of the Game เพราะถือว่าเข้ามารบกวนการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน และจะต้องถูกลงโทษตามกติกาที่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติวางไว้"

ศิวกร ภูอุดม ผู้ตัดสินระดับ ฟีฟ่า อีลีต กล่าวว่า "ผมว่าเป็นแนวทางที่ดีที่ทาง ฟีฟ่า ได้มีการจัดเวิร์คชอป เราได้นำมาใช้แล้ว สิ่งที่เราได้เห็นคือความถูกต้องมันเกิดขึ้นในสนามแน่นอน “

"ผมรู้สึกว่า VAR คือตัวสนับสนุนผู้ตัดสิน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการตัดสินใจ อะไรที่ตัดสินไปแล้ว และในสมองหากคิดว่าไม่มั่นใจ อันนี้ก็เป็นทางออกที่ VAR ที่จะช่วยเหลือพวกเรา ว่าสิ่งที่เราทำลงไปถูกหรือผิด หากมีการกลับคำตัดสิน ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อการแข่งขัน ซึ่งตัวผู้ตัดสินต้องแบกรับความกดดันไม่ให้สูญเสียความมั่นใจ เพราะเราต้องพยายามทำทุกการตัดสินให้ถูกต้องมากที่สุด"

เทคโนโลยีนี้ หลังจากนำมาใช้ในเกม “ปราสาทสายฟ้า” กับ “กว่างโซ้งมหาภัยแล้ว” ก็จะนำมาใช้ตัดสินในเกมไทยลีก และเกมนัดสำคัญ ๆ ต่อไป เพื่อให้ฟุตบอลเป็นไปด้วยความถูกต้อง บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีคำว่า “ตัดสินค้านสายตา” เหมือนในอดีต