ข่าว

รวมชาติดังชวดไปเล่นฟุตบอลโลก2018

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เสร็จสิ้นไปแล้วสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก ที่ได้ 32 ทีมสุดท้ายในการลุยศึกฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งมวลมนุษยชาติ ที่รัสเซีย ช่วงกลางปีหน้า

     โดยในการแข่งขันเวิลด์ คัพ ครั้งนี้ ก็มีหลายทีมที่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้แบบพลิกความคาดหมาย และถือเป็นการสร้างสีสันให้มหกรรมลูกหนังครั้งนี้เป็น อย่างมาก ทั้ง ไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศขนาดเล็กที่สุดที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลกได้ด้วยจำนวนประชากรเพียง 350,000 คน , อียิปต์ ที่ผ่านไปเล่นรอบสุด ท้ายของฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990 และโมร็อกโก ที่เข้าไปชิงชัยเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีเช่นกัน
      ส่วนทีมเต็งอื่นๆก็พาเหรดเข้ารอบมาอย่างคับคั่ง ทั้ง บราซิล แชมป์โลก 5 สมัย, เยอรมัน แชมป์โลก 4 สมัย, อาร์เจนตินา แชมป์โลก 2 สมัย และอังกฤษ ทีมขวัญใจมหาชน เป็นต้น
       ถึงกระนั้นในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ก็จะไม่มีทีมดังระดับโลกหลายทีม ที่เคยประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติมาแล้ว จนทำให้แฟนๆต้องเสียความรู้สึก และถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของวงการลูกหนังประเทศนั้นๆเลยมีเดียว
อิตาลี
      หากก่อนทัวร์นาเมนต์คัดเลือกบอลโลก 2018 จะเริ่มขึ้นนั้น จะมีคนบอกว่า อิตาลี ซึ่งมีดีกรีเป็นแชมป์โลกถึง 4 สมัย พร้อมทั้งผ่านเข้ารอบสุดท้ายติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 1958 นั้นจะตกรอบ คงไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอน แต่เรื่องดังกล่าวกลับเกิดขึ้นจริง ซึ่งเหมือนกับคำในวงการลูกหนังที่ถูกพูดถึงเสมอว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้กับฟุตบอลลูกกลมๆ”
       โดยทัพ “อัซซูรี” ถูกจับมาอยู่ในกลุ่มจี ซึ่งดูแล้วมีเพียง สเปน ที่ดูเหนือกว่าพวกเขา และเป็นเช่นนั้นจริงๆเมื่อ อิตาลี สามารถผ่านเข้ารอบเพลย์ออฟได้เป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม โดยทิ้งห่างอันดับ 3 อย่าง แอลเบเนีย ถึง 10 แต้ม
      อย่างไรก็ตามสไตล์การเล่นของ อิตาลี ภายใต้การนำของ จามปิเอโร่ เวนตูรา กุนซือจอมเก๋านั้นเป็นการเล่นแบบรัดกุมเกินไป และถูกวิจารณ์ว่าน่าเบื่อ รวมถึงอาจทำให้ทีมไปไม่ถึงฝั่งฝัน แม้จะมีผู้เล่นชื่อดังอยู่ในทีมชุดนี้หลายคน ทั้ง จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน, จอร์โจ้ คิเอลลินี, ดานิเอเล เด รอสซี, มาร์โก แวร์รัตติ และอันเดรีย เบล็อตติ เป็นต้น
      และในรอบเพลย์ออฟ พวกเขาต้องมาเจอของแข็งอย่าง สวีเดน แต่ถ้าดูจากชื่อชั้น และประสบการณ์แล้วต้องบอกได้ว่า อิตาลี ยังเหนือกว่ามาก อย่างไรก็ตามในเกมแรกพวกเขาต้องพ่ายต่อทีม “ไวกิ้ง” ไปก่อน 0-1 รวมถึงในเกมที่ 2 ซึ่งแม้พวกเขาเปิดเกมบุกอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถผลิตสกอร์ได้ และจบเกมเสมอกันไป 0-0
        จากผลดังกล่าวทำให้ อิตาลี ไม่ได้เข้าร่วมใน เวิลด์ คัพ รอบสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี และเป็นการปิดฉากการรับใช้ชาติอย่างเจ็บปวดของ จิอันลุยจิ บุฟฟอน สุดยอดนายทวารแห่งยุคของ ยูเวนตุส
ฮอลแลนด์

     ไม่น่าเชื่อว่ารองแชมป์ฟุตบอลโลก 3 ครั้ง เมื่อปี 1974, 1978 และ 2010 อย่าง ฮอลแลนด์ ที่ประสบการณ์ในการเข้าสู่รอบสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลกนั้นต้องเรียกว่าโชกโชนถึง 10 ครั้ง จะไม่ได้ผ่านไปเล่นที่ รัสเซีย
      แม้ว่าในการแข่งขันเวิลด์ คัพ ครั้งนี้ พวกเขาจะหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปฉายแสงที่แดนหมีขาวให้จงได้ แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เริ่มตั้งแต่การจับสลากแบ่งสายที่พวกเขาต้องอยู่ในกลุ่มเดียวกับ ฝรั่งเศส, บัลแกเรีย, เบลารุส และลักเซมเบิร์ก ซึ่งถ้าดูผิวเผินแล้วมีเพียงทีม “ตราไก่” เท่านั้น ที่มีฝีเท้าสูสีกับพวกเขา และได้รับการคาดการณ์ว่าจะผ่านเข้ารอบคู่กัน อยู่ที่ว่าทีมใดจะคว้าตำแหน่งจ่าฝูง หรือรองจ่าฝูงเท่านั้น
      ถึงกระนั้น “อัศวินสีส้ม” กลับทำผลงานได้อย่างผิดคาดด้วยการพ่าย บัลแกเรีย 0-2 และแพ้ ฝรั่งเศส ทั้งไป และกลับ ด้วยสกอร์ 0-1 และ 0-4 ตามลำดับ รวมถึงการที่ สวีเดน เอาชนะ ลักเซมเบิร์ก ได้ถึง 8-0 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนให้พวกเขาต้องเจอสถานกาณ์ที่ลำบากมากเข้าไปอีก
จนสุดท้ายสหพันธ์ฟุตบอลฮอลแลนด์ ต้องปลด แดนนี บลินด์ ออกจากตำแหน่งกุนซือพร้อมให้ ดิ๊ก อัตโวคาท เขามาทำทีมแทน แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากนักด้วยหลายๆ องค์ประกอบ ทั้ง แผนการเล่นที่ยังไม่เหมาะสม รวมถึงคุณภาพนักเตะที่ไม่ดีพอ จนทำให้นัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ฮอลแลนด์ ต้องเอาชนะสวีเดน ให้ได้ถึง 7-0 จึงจะผ่านเข้าไปเล่นเพลย์ออฟได้
     และแม้ว่า ฮอลแลนด์ เอาชนะไปได้ 2-0 แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบ และส่งผลให้พวกเขาต้องอกหักในพลาดไปลงเล่นในรอบสุดท้ายของ 2 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ติดต่อกัน ทั้ง ยูโร 2016 และฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งถือเป็นความน่าผิดหวังให้กับแฟนบอล และนักเตะ จน อาร์เยน ร็อบเบน ปีกจอมทัพของทีม ได้ประกาศอำลาทีมไปเป็นที่เรียบร้อย
ชิลี

      ชิลี ถือเป็นอีกทีมที่พลาดไปเล่นในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้แบบผิดคาด เนื่องจากทำผลงานได้ดีมาโดยตลอดในการแข่งขันระดับนานาชาติในช่วงหลัง ทั้งการคว้าแชมป์ศึกโคปา อเมริกา 2 สมัยติดต่อกัน ในปี 2015 และ 2016 รวมถึงเป็นรองแชมป์ “ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ” เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา
       อย่างไรก็ตามผลงานในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ กลับไม่เป็นตามใจหวัง แม้จะประเดิมได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการเอาชนะ บราซิล 2-0 แต่หลังจากนั้นฟอร์มของพวกเขากลับแย่ลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะในการเล่นเป็นทีมเยือนที่ ชิลี หาชัยชนะแทบไม่เจอ รวมถึงการแพ้คาบ้านให้กับ ปารากวัย 0-3 ในเกมที่ 15 และบุกพ่าย โบลิเวีย 1-0 ในเกมที่ 16 ของรอบคัดเลือก
      และในเกมสุดท้ายที่ถือว่าเป็นการชี้ชะตาของทีมในการเข้ารอบ พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานความแข็งแกร่งของทัพ “เซเลเซา” ได้ และพ่ายไปแบบยับเยิน 0-3 จนทำให้สุดท้ายพวกเขาต้องกระเด็นตกรอบไปด้วยประตูได้เสียที่น้อยกว่า เปรู ทีมอันดับ 5 ที่ได้โควต้าไปเล่นเพลย์ออฟ เพียง 2 ลูก แม้มีแต้ทเท่ากัน และพลาดการไปเล่นเวิลด์ คัพ รอบสุดท้ายเป็นสมัยที่ 10 แบบน่าเสียดาย
สหรัฐอเมริกา

      ทีมอันดับที่ 27 ของโลก ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะต้องกระเด็นตกรอบคัดเลือกคัดเลือกของฟุตบอลโลก 2018 เนื่องจากอยู่ในโซนคอนคาเคฟ ซึ่งมีเพียงคู่แข่งตลอดกาลอย่าง เม็กซิโก ที่ดูจะสู้กับพวกเขาได้ ส่วนทีมอื่นๆ เช่น คอสตาริกา, ปานามา หรือฮอนดูรัส ดูไม่ใช่คู่ตอกรของพวกเขาแต่อย่างใด
      อย่างไรก็ตามทัพ “ลุงแซม” กลับโชวฟอร์มได้ผิดคาดตั้งแต่เกมแรกของการแข่งขัน ด้วยการโดน “จังโก้” บุกมาอัด คาบ้าน 1-2 จน เจอร์เก้น คลินสมันน์ โค้ชชาวเยอรมันถูกปลดออกจากตำแหน่ง และใช้ บรู๊ซ อารีนา ที่เคยพาทีมสหรัฐ มาแล้วครั้งหนึ่ง ระหว่างปี 1998-2006 พร้อมนำทัพ “พญาอินทรี” ผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ นอกจากนั้น อารีนา ยังทำสถิตินำทีมชาติอเมริกาชนะ 71 นัดตลอดเวลาในการคุมทีมเข้ามาทำหน้าที่แทน โดยมีเป้าหมายหลักนำทีมชาติสหรัฐเตะคัดบอลโลก 2018
     และจากนั้น สหรัฐ ก็โชว์ฟอร์มได้ดีไม่แพ้ใคร 4 เกมติด จนกระทั่งแพ้คารังต่อ คอสตาริกา 0-2 และเสมอกับ ฮอนดูรัส 1-1 ในเกมต่อมา จนทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก และต้องลุ้นเข้ารอบกับ ฮอนดูรัส ในเกมสุดท้าย แต่พวกเขาได้เปรียบตรงที่ถ้าสามารถเอาชนะตรินิแดด แอนด์ โตเบโก ได้ก็จะผ่านเข้ารอบได้โดยไม่ต้องสนใจผลคู่อื่นๆ
     แต่ผลปรากฏว่าพวกเขากลับบุกพ่าย ตรินิแดด แบบช็อกแฟนบอล 1-2 ขณะที่ ฮอนดูรัส เปิดรังเอาชนะ เม็กซิโก ทีมจ่าฝูงได้ 3-2 และแซงเข้าไปเล่นในรอบเลย์ออฟด้วยการมี 13 แต้ม ขณะที่ สหรัฐ มี 12 คะแนน
     และหลังจากนั้น อารีนา เฮดโค้ชของทีมก็ขอลาออกจากตำแหน่ง หลังไม่สามารถพาทีมไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1986
แคเมอรูน

     อีกหนึ่งทีมชื่อดังที่ไม่ได้ไปต่อในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย แม้ว่าจะเคยผ่านสังเวียนเวิลด์ คัพ มาแล้วกว่า 7 ครั้งก็ตาม โดยจริงๆแล้วผลงานของทีม “หมอผี” ก็ไม่ได้แย่นัก เนื่องจากแพ้ไปเพียง 1 เกมกับการร่วมสายกับ ไนจีเรีย, แซมเบีย และแอลจีเรีย
     แต่จากการที่พวกเขาเสมอบ่อยเกินไปถึง 4 เกมจาก 6 นัด และชนะเพียง 1 นัด ทำให้ แคเมอรูน มีแต้มไม่เพียงพอที่จะคว้าจ่าฝูง เพื่อผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้ โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากผู้เล่นในปัจจุบันถือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่เกือบทั้งหมดหลังหมดยุคของ ซามูเอล เอโต้ อดีตกองหน้า บาร์เซโลนา และอเล็กซานเดอร์ ซง อดีตกองกลาง อาร์เซนอล จึงยังไม่มีนักเตะตัวหลักที่ทีมจะพึ่งพาได้
     รวมไปถึงการที่ ไนจีเรีย ซึ่งได้ผ่านเข้ารอบในตำแหนางจ่าฝูง มีผลงานที่สุดยอด ด้วยการชนะ 4 เสมอ 2 เหตุมีนักเตะชื่อก้องอยู่ในทีมมากมาย ทั้ง จอห์น โอบิ มิเกล กองกลางเทียนจิน เจดา, เคเลชี อิเฮียนาโช กองหน้า เลสเตอร์ ซิตี และ อเล็กซ์ อิโวบี แนวรุกดาวโรจน์ อาร์เซนอล เป็นต้น
      ทั้งหมดที่กล่าวมาคือชาติดังที่พลาดเป็น 1 ใน 32 ทีมที่คว้าตั๋วไปเล่นศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ซึ่งต้องมาดูกันว่าการขาดทีมเหล่านี้ไปจะทำให้เวิลด์ คัพ ที่แดนหมีขาว ลดความสนุกสนานลงมากน้อยเพียงใด รวมถึงในอีก 4 ปีข้างหน้าชาติเหล่านี้จะสามารถกลับไปเล่นในฟุตบอลโลกได้อีกครั้งหรือไม่

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ