ข่าว

5นักเตะเซ็นฟรีสุดคุ้มแห่งศึกพรีเมียร์ลีก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวที่ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการฟุตบอลอังกฤษ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการย้ายทีม

      นั่นก็คือการที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รองจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก เตรียมเซ็นสัญญากับ เมซุต โอซิล เพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์ของ อาร์เซนอล มาร่วมทีมแบบฟรีๆหลังจบซีซั่นนี้

      โดยแข้งวัย 28 ปี เหลือสัญญากับทีม “ปืนใหญ่” อยู่อีกเพียงไม่ถึง 1 ปี แต่ยังไม่มีการเจรจาเรื่องการต่อสัญญาใหม่อย่างจริงจัง เนื่องจากมีรายงานว่า โอซิล ต้องการค่าเหนื่อยมากกว่า 3 แสนปอนด์ (ประมาณ 13.2 ล้านบาท) แต่ทีมดังแห่งถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดียม ไม่สามารถให้ตามข้อเรียกร้องดังกล่าวได้

      ส่งผลให้ โชเซ่ มูรินโญ ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ชื่นชอบฝีเท้าของ โอซิล อยู่แล้ว เนื่องจากเคยร่วมงานกันสมัยเจ้าตัวคุมทีม เรอัล มาดริด เตรียมเซ็นสัญญานักเตะมาร่วมถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แบบฟรีๆในช่วงจบฤดูกาลนี้ และพร้อมจ่ายค่าเหนื่อยให้ตามที่นักเตะต้องการ เหตุเชื่อว่า โอซิล จะเข้ามาช่วยให้เกมรุกของทีมมีประสิทธิภาพมากขึ้นในฤดูกาลหน้า

      สำหรับนักเตะที่ถูกเซ็นสัญญาแบบไร้ค่าตัวมาร่วมทีมนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะถูกมองว่าเป็นแข้งที่ไม่ได้รับความสนใจแล้ว หรือเป็นได้อย่างมากเพียงแค่อะไหล่ของทีม อย่างไรก็ตามมีจำนวนไม่น้อยที่สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมให้ต้นสังกัดใหม่ ซึ่งล่าสุด “มิร์เรอร์” สื่อดังของอังกฤษ ได้จัดอันดับ 5 แข้งฟรีของศึกพรีเมียร์ลีก ที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์

5.จานลูก้า วิอัลลี

       หลังจากที่ยอดกองหน้าทีมชาติ อิตาลี รายนี้คว้าแชมป์ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 1995-96 ร่วมกับ ยูเวนตุส พร้อมทำไป 38 ประตูจากการลงสนาม 102 นัดให้กับทีม เขาก็ตัดสินใจไม่ขยายสัญญากับ “ม้าลาย”
      โดยเป้าหมายต่อไปในอาชีพการค้าแข้งของเขา คือ การมาค้าแข้งในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งเป็น เชลซี ที่สามารถคว้าตัวเขามาได้แบบไม่เสียค่าตัวสักบาทเดียวในปี 1996 เหมือนกับที่ทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” คว้าตัว รุด กุลลิท ยอดนักเตะทีมชาติฮอลแลนด์มาแบบไร้ค่าตัวเมื่อปี 1995
       และการคว้าตัว วิอัลลี เข้ามาสู่ทีมนั้นต้องเรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้ม เนื่องจากเพียงซีซั่นแรก เขาก็พาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้ทันที รวมไปถึงช่วงหลังจากที่ กุลลิท ซึ่งได้ขึ้นเป็นผู้จัดการทีม ถูกปลดจากตำแหน่งในปี 1998 เขาก็ขึ้นมาเป็นทั้งผู้เล่น-ผู้จัดการทีมของ “สิงห์บลูส์” ก่อนช่วยทีมกวาดแชมป์ได้อีกมากมาย ทั้ง ลีก คัพ 1 สมัย, คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย และยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย จนกลายมาเป็นตำนานสโมสรมาจนถึงทุกวันนี้

4.แบรด ฟรีเดล

      ผู้รักษาประตูทีมชาติสหรัฐรายนี้ ถือว่าเป็นจอมพเนจรคนหนึ่งในศึกพรีเมียร์ลีก เนื่องจากเคยค้าแข้งกับทีมในอังกฤษมาแล้วถึง 4 สโมสร ประกอบด้วย ลิเวอร์พูล, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, แอสตัน วิลล่า และท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์
      แต่ช่วงเวลาที่ ฟรีเดล ถือว่าโชว์ฟอร์มได้สุดยอดมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นการที่เจ้าย้ายจาก “หงส์แดง” มาอยู่กับ “กุหลาบไฟ” แบบไร้ค่าตัวในปี 2000 ภายใต้การคุมทีมของ แกรม ซูเนสส์ ซึ่งในฤดูกาลแรกเขาก็ทำให้ต้นสังกัด กลับขึ้นมาอยู่ในพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง
      และในปี 2002 นั้นก็ถือว่าเป็นปีแจ้งเกิดของ ฟรีเดล อย่างแท้จริง เนื่องจากเขามีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยให้ทีมเอาชนะ สเปอร์ส ได้ 2-1 และคว้าแชมป์ เวิร์ทธิงตัน คัพ (ลีก คัพ) มาครอง ก่อนทำสถิติลงสนามในลีกให้ทีม 287 นัด ตลอด 8 ปีที่อยู่กับสโมสร
      โดย กอร์ดอน สตรัคคัน ยอดกุนซือชาวสกอตต์ ได้กล่าวถึงนายทวารรายนี้ว่า “ฟรีเดล ควรจะมีตู้โทรศัพท์เป็นของตนเอง ซึ่งผมจะไม่แปลกใจเลยหากเขาเข้าไปในนั้น และใส่เสื้อที่มีตัวเอส ออกมา เพราะเขาเซฟประตูได้เหมือนกับซูเปอร์แมนจริงๆ”

3.มิชาเอล บัลลัค

      อีกหนึ่งสุดยอดแข้งระดับโลกที่ขึ้นชื่อเรื่องความโชคร้ายที่สุด หลังเคยต้องเป็น “ทริปเปิลรองแชมป์” ในฤดูกาลเดียวสมัยอยู่กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน เมื่อซีซั่น 2001-02 ประกอบด้วย รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก, รองแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล และรองแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมัน อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค และช่วยทีมกวาดแชมป์มาครองอย่างมากมาย
      จนกระทั่งในฤดูกาล 2006 เจ้าตัวได้หมดสัญญากับทีม “เสือใต้” และถือเป็นจุดหักเหในอาชีพการค้าแข้งเมื่อเขาตัดสินใจย้ายจากลีกบ้านเกิด มาอยู่กับ เชลซี ยอดทีมแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แบบฟรีๆ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าสไตล์การเล่นไม่เหมาะกับลีกสูงสุดแดนผู้ดี เนื่องจากช้า และเน้นทักษะในการเล่นจนเกินไป
       รวมไปถึงในช่วงแรกที่ บัลลัค ย้ายมาอยู่กับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เขาได้รับบาดเจ็บหนัก และเกือบจะหมดอนาคตกับทีมไปแล้ว ถึงกระนั้นในซีซั่นแรกเขาก็ช่วยทีมคว้าดับเบิลแชมป์มาครอง ทั้ง เอฟเอ คัพ และลีกคัพ
      มิดฟิลด์ทีมเยอรมันรายนี้อยู่กับ เชลซี มาต่อเนื่องอีก 4 ปี ด้วยการเป็นตัวหลักของทีมอยู่เสมอ หากไม่มีอาการบาดเจ็บ พร้อมทั้งทำสถิติคว้าแชมป์ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ประกอบด้วย แชมป์ พรีเมียร์ลีก 1 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย, ลีก คัพ 1 สมัย จึงถือว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่าจริงๆ

2.ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

      เชื่อว่าหลายคนคงเกิดคำถามกับทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงต้นฤดูกาลที่แล้วว่า เพราะเหตุใดจึงตัดสินใจดึงตัวหัวหอกชาวสวีดิชรายนี้มาจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เนื่องจากด้วยอายุกว่า 35 ปี คงจะไม่สามารถยืนระยะ และโชว์ฟอร์มเก่งได้ในลีกที่ถือว่ามีความแข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก แม้จะเป็นการเซ็นสัญญาแบบฟรีๆก็ตาม
      อย่างไรก็ตาม ซลาตัน กลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนกลายเป็นหัวหอกตัวหลักของทีมชนิดที่ขาดไม่ได้ พร้อมทำไปถึง 28 ประตูจาก จาก 46 เกมในทุกรายการ พร้อมช่วยให้ทีมคว้า "ดับเบิลแชมป์" ทั้ง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และ ลีก คัพ แต่ถึงกระนั้นเขากลับโชคร้ายเมื่อได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าขวา และต้องพักอย่างน้อยถึงช่วงปีหน้า จนต้องยกเลิกสัญญากับทีมไป
      ถึงกระนั้นจากการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเร็วเกินคาด ส่งผลให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม “ปีศาจแดง” ตัดสินใจดึงแข้งรายนี้กลับมาสู่ทีมอีกครั้งด้วยสัญญา 1 ปี ซึ่งต้องมาดูว่าเขาจะส่วนช่วยทีมประสบความสำเร็จอีกมาก หรือน้อยเพียงใดในฤดูกาลนี้

1.โซล แคมป์เบลล์

      อาร์แซน เวนเกอร์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเซ็นสัญญากับปราการหลังทีมชาติอังกฤษรายนี้มาร่วมทีมในปี 2001 ถึงแม้เขาจะมาจากทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ว่า เกมรุกของเขาไม่สามารถผ่านการป้องกันของ แคมป์เบลล์ ได้เลยในช่วงก่อนหน้านี้ จึงเป็นเหตุให้ดึงตัวมาร่วมทีมแม้อาจถูกกระแสแฟนบอลต่อต้านบ้างก็ตาม
       โดย “บิ๊กโซล” สามารถปรับตัวกับ “ปืนใหญ่” อย่างรวดเร็ว ด้วยการยืนเป็นปราการหลังคู่กับ โทนี อดัมส์ และช่วยให้ทีมคว้าดับเบิลแชมป์ ทั้ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ และเอฟเอ คัพ และหลังจากหมดยุคของ อดัมส์ แล้ว “บิ๊กโซล”ก็ขึ้นมาเป็นตัวหลักในเกมรับของทีมอย่างเต็มตัว โดยในซีซั่น 2003-04 เขากับ โคโล่ ตูเร่ ก็ช่วยให้ “เดอะ กันเนอร์ส” คว้าแชมป์ลีกมาครองแบบไร้พ่ายตลอด 38 นัดในฤดูกาลนั้น จนเป็นที่กล่าวถึงมาจวบจนทุกวันนี้ และทำให้เขากลายเป็นตำนานสโมสรที่ยังอยู่ในใจของแฟน “เดอะ กันเนอร์ส” หลายต่อหลายคน
     

       ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ 5 นักเตะที่ถูกเซ็นสัญญามาแบบไม่มีค่าตัว แต่กลับทำผลงานให้กับสโมสรนั้นๆได้แบบคุ้มเกินคุ้มจนได้รับการยอมรับ และพูดถึงมาจนปัจจุบัน โดยต้องมาดูกันว่าในอนาคตจะมีนักเตะที่ถูกเซ็นฟรีคนใด โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นแบบแข้งเหล่านี้กันบ้าง

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ