ข่าว

ย้อนรอยแข้งดังซีซั่นเดียว

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กลายเป็นดาวเตะที่เส้นทางอาชีพการค้าแข้งพุ่งพรวดแบบก้าวกระโดด สำหรับ คิเลียน เอ็มบัปเป ศูนย์หน้าดาวรุ่งของฝรั่งเศส วัยเพียง 18 ปี

   หลังจากใช้เวลาเพียงแค่ 1 ฤดูกาล อัพเกรดจากแข้งดาวรุ่งโนเนม ก้าวไปติดทีมชาติฝรั่งเศส และกำลังจะขึ้นแท่นเป็นนักเตะที่ค่าตัวสูงสุดลำดับ 2 ของโลก จากการที่ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง พร้อมทุ่มงบก้อนโตอีกครั้งในรูปแบบสัญญายืมตัว 1 ซีซั่น พร้อมออปชั่นซื้อขาด 166 ล้านปอนด์ (ราว 6,900 ล้านบาท) โดยเวลานี้เหลือเพียงแค่รอเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับทีมเมืองหลวงแดนน้ำหอมเท่านั้น
    อย่างไรก็ตาม เอ็มบัปเป ไม่ใช่แข้งคนแรกที่เปิดตัวในฤดูกาลแรกได้อย่างร้อนแรงจนได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วยุโรป เพราะก่อนหน้านี้วงการลูกหนังเคยมีตัวอย่างของบรรดาดาวจรัสแสงที่ใช้เวลาแจ้งเกิดไม่นาน เช่นเดียวกับระยะเวลาบนจุดสูงสุดของพวกเขาที่ก็อยู่ไม่นานเช่นกัน จนทุกวันนี้แฟนบอลบางคนอาจลืมชื่อของพวกเขาไปแล้ว

อาเมอร์ ซากี
วีแกน, ฤดูกาล 2008-09

    
    “เขาเป็นใคร?” นี่คือคำถามแรกของแฟนบอลซึ่งเกิดขึ้นหลังจาก วีแกน แอธเลติก ที่ในตอนนั้นยังมีฐานะเป็นทีมจากพรีเมียร์ลีก ได้เซ็นสัญญากับแนวรุกโนเนมจากอียิปต์ ด้วยสัญญายืมตัวจาก ซามาเลค สโมสรในลีกฟาโรห์ เมื่อตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ของปี 2008
    ซากี ใช้เวลาไม่นานก็สามารถทลายข้อสงสัยที่มีเกี่ยวกับตัวเขา เมื่อสามารถยิงประตูแรกให้กับต้นสังกัดใหม่ได้ทันทีตั้งแต่นัดเปิดตัวกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และก่อนสิ้นเดือนกันยายน เขากดไปอีกรวมทั้งหมด 5 ประตู จาก 6 นัด ขึ้นไปนำเป็นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อยู่ช่วงหนึ่ง เบ็ดเสร็จฤดูกาลแรกและเป็นฤดูกาลเดียวของดาวยิงทีมชาติอียิปต์ ยิงไป 10 ลูก จากการลงเล่นทั้งหมด 22 นัด 
    แต่ช่วงเวลาของเขากับ“เดอะ ลาติกส์”ต้องจบลงหลังจากที่กลับมารายงานตัวช้าจากการไปรับใช้ทีมชาติอียิปต์ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ซึ่ง สตีฟ บรูซ กุนซือในตอนนั้นยอมรับไม่ได้กับการที่นักเตะไม่แสดงความเป็นมืออาชีพให้เห็น กระทั่งตัดสินใจไม่ยอมซื้อขาดและปล่อยนักเตะกลับไปยังต้นสังกัดในบ้านเกิด

โรบินโญ
แมนฯซิตี, ฤดูกาล 2008-09

    
    อดีตนักเตะเจ้าของฉายา “นิว เปเล่” สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากหลังตัดสินใจย้ายมาค้าแข้งบนเกาะอังกฤษ กับ แมนฯซิตี ด้วยค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์(ราว 1,360 ล้านบาท) และเป็นสถิติแข้งต่างชาติค่าตัวแพงสุดชั่วโมงนั้น แถมเป็นดีลเขย่าโลกครั้งแรกของกลุ่มทุนอาบูดาบีที่เพิ่งเข้ามาเทคโอเวอร์ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์
    โรบินโญ ร่ายเพลงแข้งได้อย่างโดดเด่นเพียงปีแรกที่ย้ายมาโชว์ผลงานยังถิ่นเอติฮัด สเตเดียม โดยใช้เวลาเพียง 13 นาที ในการประเดิมประตูแรกของตัวเองบนเกาะอังกฤษต่อหน้ากองเชียร์เรือใบสีฟ้า จากการซัดฟรีคิกสุดสวยในชัยชนะเหนือเชลซี 3-1 อีก 1 เดือนต่อมาตะบันแฮตทริคแรกของตัวเองในเกมเปิดบ้านชนะ สโต๊ค ซิตี 3-0 เบ็ดเสร็จซีซั่นแรกยิงไปทั้งหมด 14 ประตู ครองดาวซัลโวของทีมเพียงปีแรกที่ย้ายมาร่วมทัพ แต่หลังจากนั้นฟอร์มกลับตกไปดื้อๆ ประกอบกับสภาพจิตใจที่ไม่สู้ดี ทำให้สุดท้าย แมนฯซิตี ต้องยอมปล่อยตัวกลับไปอยู่กับ ซานโตส อดีตต้นสังกัดในบ้านเกิดยืมตัวใช้งาน

ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์
แมนฯซิตี, ฤดูกาล 2004-05

    ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ เซ็นสัญญาย้ายมาเล่นให้ เชลซี ด้วยสัญญา 5 ปี เมื่อช่วงหน้าร้อนปี 2005 ค่าตัว 21 ล้านปอนด์ (ราว 880 ล้านบาท) แต่กลับไม่สามารถชนะใจ โชเซ มูรินโญ กุนซือของทีมในตอนนั้นได้เลยกับการแย่งชิงตำแหน่งตัวจริง
    เมื่อครั้งที่แจ้งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ ปีกร่างเล็กถูกจับตามองในฐานะดาวรุ่งพุ่งแรงคนหนึ่งของวงการ โดยเขาคือเจ้าของรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ ซิตี 4 ปีซ้อน แถมในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับทีมก่อนย้ายไปเชลซีนั้น เจ้าตัวยังทำผลงานได้ดีจนติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก แต่การตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพ"สิงห์บลูส์"ก็ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างรวดเร็ว แม้จะประสบความสำเร็จคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, และ ลีก คัพ อย่างละ 1 สมัย ตลอดระยะเวลา 3 ฤดูกาล แต่กับบทบาทในทีมถือว่าเขามีส่วนร่วมในการไล่ล่าความสำเร็จน้อยเหลือเกิน
    ปัจจุบันอดีตปีกทีมชาติอังกฤษ ค้าแข้งให้กับ "ฟีนิกซ์ ไรซิง" ทีมระดับดิวิชัน 2 ของลีกสหรัฐ โดยยังคงได้รับความไว้วางใจให้เป็นกำลังหลักของทีม ลงเล่นไป 19 นัด ยิงไป 2 ประตู

กราฟิเต
โวล์ฟสบวร์ก, ฤดูกาล 2008-09

    
    การคว้าแชมป์ลีกหนแรกในประวัติศาสตร์สโมสรของโวล์ฟสบวร์ก ในฤดูกาล 2008-09 ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของศูนย์หน้าชาวบราซิลเลียนรายนี้และอาจเป็นซีซั่นที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ค้าแข้งมาเลยทีเดียว
    โวล์ฟสบวร์ก ซิวถาดแชมป์บุนเดสลีกาไปครองจากการไม่แพ้ใครในบ้านตลอดฤดูกาล เสมอเพียงครั้งเดียว แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ กราฟิเต กองหน้าชาวบราซิล เป็นดาวซัลโวสูงสุด ทำได้ 28 ประตู รองลงมาเป็น เอดิน เซโก หัวหอกทีมชาติบอสเนีย  เพื่อนร่วมค่าย ซึ่งยิงไป 26 ประตู นอกจากนี้การซัดรวมกัน 54 ลูก ของทั้งสองคน ยังทำลายสถิติคู่หูที่ทำสกอร์สูงสุดในการทำศึกบุนเดสลีกาฤดูกาลเดียว ซึ่ง แกร์ด มุลเลอร์ กับ อูลี เฮอเนส ของบาเยิร์น มิวนิค เคยทำไว้ 53 ประตู เมื่อฤดูกาล 1971-72 และ 1972-73
    อย่างไรก็ตามหลังผ่านความสำเร็จอย่างสูง ซีซั่นถัดมา กราฟิเต ต้องเจอกับปัญหาฟอร์มตกอย่างหนัก โดยยิงไปเพียง 18 ประตูเท่านั้น จากการลงเล่น 40 นัด นับรวมทุกรายการ พาทีม“หมาป่าแห่งเมืองเบียร์” แชมป์เก่าเข้าป้ายเพียงอันดับ 8 เท่านั้น ก่อนที่อีก 2 ฤดูกาลต่อมาจะถูกปล่อยให้ อัล อาห์ลี ในลีกสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

มิชู
สวอนซี, ฤดูกาล 2012-13

    ย้อนกลับไปในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2012-13 ซึ่งนับเป็นปีทองของดาวเตะสายเลือดกระทิงที่ย้ายจากราโย บาเยกาโน มาค้าแข้งให้กับ สวอนซี ซิตี ด้วยค่าตัวเพียง 2 ล้านปอนด์(ราว84 ล้านบาท) และเขาก็สร้างชื่อในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีได้อย่างทันท่วงที
    มิชู ยิง 4 ประตูจากการลงสนามในเกมลีก 3 นัดแรก จากนั้นจบฤดูกาลดังกล่าว ด้วยการซัดไปถึง 22 ประตู จาก 43 นัดรวมทุกรายการ ช่วยให้ทีม“หงส์ขาว” คว้าแชมป์ลีกคัพ ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นเขาถูกอาการบาดเจ็บเล่นงาน ก่อนถูกปล่อยให้นาโปลี แต่ก็ล้มเหลวจากการลงสนาม 6 เกมยิงไม่ได้เลย
    มิชู ย้ายไปเล่นทีมลีก 4 ของสเปน กับ อูเป ลานเกโร ทีมสมัครเล่น และย้ายกลับไปอยู่กับ โอบิเอโด ต้นสังกัดของเขาในวัยเด็กในเวลาต่อมา แต่อาการบาดเจ็บยังคงตามเล่นงาน จนถึงจุดที่เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดบนวัย 31 ปี โดยปัจจุบันยังคงวนเวียนอยู่ในวงการลูกหนังด้วยการรับบทผู้อำนวยการสโมสรโอเบียโด
    
    สุดท้ายนี้ผลงานที่ร้อนแรงเพียงแค่ฤดูกาลเดียวอาจไม่ใช่เครื่องการันตีว่านักเตะคนนั้นจะประสบความสำเร็จหรือทำได้ดีในแบบเดียวกับที่เคยทำได้กับต้นสังกัดเก่า ซึ่งสิ่งสำคัญที่นอกเหนือจากเรื่องค่าตัวที่เป็นตัวแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของผู้เล่นแล้ว

    เรื่องของ“หัวจิตหัวใจ”ก็อาจสำคัญไม่แพ้กัน ในยามที่ต้องเผชิญกับความกดดันจากบรรทัดฐานที่พวกเขาเป็นคนสร้างขึ้นมา
           

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ