ข่าว

ตั๋วใบสุดท้ายสู่การคืนเวทีลีกสูงสุดเมืองผู้ดี

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สุดสัปดาห์นี้บรรดา 5 ลีกใหญ่ยุโรป (พรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา, บุนเดสลีกา, กัลโช เซเรีย อา และลีก เอิง) เตรียมรูดม่านปิดฤดูกาลหลังลงห่ำหั่นกันมาอย่างยาวนาน

     โดยเหลือเพียงกัลโช เซเรีย อาของอิตาลี ที่จะปิดฤดูกาลหลังใครเพื่อนในวันที่ 28 พ.ค. ซึ่งทีมแชมป์ตลอดจนการเลื่อนชั้นตกชั้นนั้นแทบได้บทสรุปไปเกือบทุกลีกแล้ว

     อย่างไรก็ตามสำหรับคอลูกหนังยังคงมีอีกหนึ่งการแข่งขันที่น่าสนใจในลีกรองอย่าง“เดอะ แชมเปียนชิพ”ของอังกฤษให้ติดตาม ภายหลังได้คู่ชิงชนะเลิศระหว่าง เรดดิง-ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ซึ่งนอกจากมีเดิมพันตั๋วใบสุดท้ายเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดแล้ว ความสำคัญอีกอย่างคือแมตช์นี้ยังมีมูลค่ากว่า 170 ล้านปอนด์ (ราว 7,400 ล้านบาท) หากทีมใดเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะได้สำเร็จ และวันนี้เดลี เมล์ สื่อเมืองผู้ดี จึงได้วิเคราะห์ความพร้อมล่าสุดของทั้ง 2 ฝั่ง ก่อนจะลงเผชิญหน้ากันที่เวมบลีย์ในวันจันทร์นี้

เทียบผลงาน
     เรดดิง ทำผลงานชนะ 26 เสมอ 7 แพ้ 13 ในฤดูกาลปกติ โดย 10 เกมหลังสุดพวกเขาเก็บชัยชนะได้ถึง 6 จาก 10 เกมที่ลงเล่น กระทั่งคว้าตั๋วเพลย์ออฟในฐานะทีมอันดับ 3 ไปดวลกับ ฟูแลม อันดับ 6
     เกมแรกที่คราเวน คอตเทจ “เดอะรอยัลส์” สามารถบุกไปเสมอกับทีมซึ่งมีสถิติสร้างโอกาสยิงเป็นอันดับ 1 ของลีก (15.5 ครั้งต่อเกม) ด้วยสกอร์ 1-1 ชนิดที่เจ้าถิ่นฟูแลมครองบอลเปิดเกมเข้าใส่เกือบตลอด 90 นาที ก่อนจะกลับมาคว้าชัยในเกมที่สอง 1-0 จากประตูชัยจากจุดโทษของยานน์ เเกร์มอร์แกนท์ พาทีมทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ
     ด้าน ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ม้ามืดในซีซั่นนี้ที่ตอนออกสตาร์ตฤดูกาลถูกยกให้เป็นตัวเต็งที่จะตกชั้น แต่สุดท้ายพวกเขาสามารถสร้างผลงานหักปากกาเซียน ชนะ 25 เสมอ 6 แพ้ 15 พาทีมจบอันดับ 5 ไปดวลกับ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ทีมอันดับ 4 ในรอบเพลย์ออฟ โดยนัดแรกทั้งคู่เสมอกันแบบไร้สกอร์ 0-0 กระทั่งเกมที่สองซึ่งต้องมาตัดสินด้วยการดวลจุดโทษหลังเสมอกันใน 120 นาทีที่สกอร์ 1-1 สุดท้ายลูกทีมของเดวิด วากเนอร์เป็นฝ่ายชนะจุดโทษ 4-3 สร้างบาดแผลให้ทีม“นกเค้าแมว”ชวดเลื่อนชั้นเป็นปีที่2ติดต่อกัน

การดวลของกุนซือ 2 สไตล์
     ความน่าสนใจของคู่ชิงชนะเลิศในปีนี้ คือการโคจรมาพบกันของ 2 ผู้จัดการทีม 2 สไตล์ ที่แม้จะเน้นเกมรุกเหมือนกันแต่ก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดย เรดดิง ภายใต้การคุมทีมของ ยาป สตัม อดีตปราการหลังชาวดัตช์ ซึ่งเข้ารับงานผู้จัดการทีมเต็มตัวกับเดอะ รอยัลส์ เป็นทีมแรก โดยก่อนหน้านี้เคยผ่านงานเป็นผู้ช่วยโค้ชในลีกบ้านเกิดกับ ซโวลล์ และโค้ชเยาวชนอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และการเข้ารับงานในถิ่นมาเดจสกี สตเดียม เจ้าตัวได้เปลี่ยนทีมจากที่เคยจบอันดับ 17 และ 19 ในสองซีซั่นหลังสุด กลายมาเป็นทีมที่กำลังลุ้นเลื่อนชั้นได้ในเพียงเวลาแค่ปีเศษ
      อดีตกองหลังแมนฯยูไนเต็ด เข้ามาเปลี่ยนระบบการเล่นจากเดิมในรูปแบบ 4-4-2 ไดมอนด์มาเป็น 4-3-3 ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทีมยิงไป 68 ประตู ในซีซั่นปกติ โดยระบบมิดฟิลด์ 3 คน จะดันขึ้นสูงเพื่อกดดันคู่แข่งพร้อมกับลุ้นทำประตูในกรอบเขตโทษ แม้สถิติการทำประตูจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจแต่ระบบดังกล่าวก็แลกมาด้วยการเสียไปถึง 64 ประตูพอๆกับตัวเลขที่ทีมยิงได้ ซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวก็ไม่รอช้าในการปรับแก้จุดบกพร่องเมื่อมาถึงรอบเพย์ออฟด้วยรูปแบบการเล่นที่ยืดหยุ่นมากขึ้นจนล้มฟูแลมมาได้
     ขณะที่ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ที่คุมทัพมาโดย เดวิด วากเนอร์ กุนซือเยอรมนี ซึ่งแทบจะถอดแบบมาจาก เจอร์เกน คลอปป์ นายใหญ่“หงส์แดง”ลิเวอร์พูล ที่เคยร่วมงานกันเมื่อครั้งเจ้าตัวคุมทีมสำรองโบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์ ก่อนมารับงานเมื่อปี 2015 และเพียงปีที่สองของเจ้าตัว รูปแบบและสไตล์การเล่นก็เริ่มเด่นชัด เป็นทีมเล่นเกมรุกดุดันและฉับไว เน้นพลังงาน วิ่งไลกดดันคู่แข่งแบบไม่มีหมด อาศัยเกมสวนกลับสลับกับกดดันคู่แข่งยามเสียการครองบอลกระทั่งได้รับฉายาว่าเป็น“เบบี ลิเวอร์พูล”ในลีกแชมเปียนชิพ
     นอกจากนี้จุดเด่นที่ทำให้ทีมบินสูงขนาดนี้นอกจากเรื่องของแท็คติกแล้ว อีกสิ่งที่โค้ชเยอรมนีผู้นี้ให้วความสำคัญคือการปลุกปั้นสปิริตในทีมตั้งแต่ช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล โดยช่วงปรีซีซั่นเจ้าตัวถึงกับสั่งห้ามลูกทีมเล่นโซเชียลมีเดียเพื่อให้ในทีมมีการพูดคุยกันมากขึ้น จนนำมาซึ่งผลงานชนะ 8 จาก 11 นัดแรก ขึ้นไปรั้งจ่าฝูงพร้อมกับสร้างความมั่นใจให้กับทีมมาจนถึงรอบนี้

สตาร์ประจำทีม
     ยานน์ เเกร์มอร์แกนท์ ถือเป็นหัวใจสำคัญในแนวรุกของเรดดิงก็ว่าได้เมื่อกดไป 19 ประตู เป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีม ซึ่งแม้อายุอานามจะปาเข้าไป 35 ปีแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังเป็นนักเตะที่ทีมขาดไม่ได้จากการที่ได้รับความไว้วางใจให้ลงเล่นไปถึง 44 เกม โดย 10 เกมหลังสุด กองหน้าชาวฝรั่งเศสรายนี้ยิงไป 9 ประตู คว้าตำแหน่งแมน ออฟเดอะ แมตช์ ถึง 4 ครั้ง รวมถึงจุดโทษที่พาทีมตีตั๋วมาถึงรอบชิงชนะเลิศ
     นอกจากสตาร์ชาวฝรั่งเศสแล้ว ในทีมยังมี จอห์น สวิฟต์ กองกลางดางรุ่งวัย 21 ปี อดีตเด็กปั้นเชลซี ที่ซีซั่นนี้ยิงไปแล้ว 9 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ แถมยังมีสถิติผ่านบอลสำเร็จสูงถึง 81.5 เปอนร์เซนต์
ขณะที่ อารอน มอย ห้องเครื่องทีมชาติออสเตรเลีย คือ หัวใจสำคัญในแดนกลางของฮัดเดอร์สฟิลด์ โดยหลังย้ายจากแมนฯซิตี มาอยู่กับทีมด้วยสัญญายืมตัวเมื่อปีที่แล้ว เจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและก้าวขึ้นมาเป็นหัวใจในแดนกลางให้ทีมได้ทันที โดยซีซั่นนี้ลงเล่นไป 47 นัด ยิง 4 ประตู และผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูอีก 7 ลูก พ่วงด้วยสถิติจ่ายบอลสำเร็จ 82.7 เปอร์เซนต์
     นอกจากนี้ เอเลียส คาชูกา ศูนย์หน้าดีอาร์ คองโก ซึ่งทีมไปดึงตัวมาจากอิงโกลสตัดต์ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา คืออีกหนึ่งทีเด็ด เมื่อสามารถลงเล่นได้หลากหลายในระบบ 3 แนวรุกหลังกองหน้าหรือว่าจะเป็นบทบาทหน้าเป้า แม้ตอนแรกที่ย้ายมาใหม่ๆจะไม่เป็นที่รู้จักแต่มาถึงตอนนี้กับผลงานที่ซัดไปแล้ว 13 ประตู จึงถือเป็นอีกอาวุธสำคัญในเกมรอบชิง

      ฤดูกาล 2012-13 หรือเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมาคือ ซีซั่นสุดท้ายที่ เรดดิง โลดแล่นบนเวทีลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ขณะที่ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ต้องย้อนไปไกลถึงฤดูกาล 1971-72 ตั้งแต่ลีกสูงสุดยังใช้ชื่อว่าดิวิชั่น 1เดิม ซึ่งพวกเขาหวังจะเดินรอยตามบอร์นมัธด้วยการขึ้นมาเล่นพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกให้ได้ ซึ่งสุดท้ายทีมใดจะเป็นฝ่ายสมหวังกับตั๋วเดิมพันมูลค่ามหาศาลนี้คงต้องมาตัดสินกันที่เวมบลีย์ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (22 พ.ค.) เวลา 21.00 น.

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ