ข่าว

5 แมตช์แห่งความทรงจำ "เอล กลาซิโก"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เตรียมกลับมาลงสนามกันอีกครั้งสำหรับศึกแห่งศักดิ์ศรีของ 2 ยอดทีมจากสเปน อย่าง "เอล กลาซิโก"

     ซึ่งคราวนี้ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด จะเป็นฝ่ายเปิดบ้านรับการมาเยือนของ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลนา ในวันอาทิตย์นี้ (22 เม.ย.) เวลา 01.45 น. โดยเกมที่จะระเบิดศึกขึ้นที่สนามซานติอาโก เบร์นาเบว ถือเป็นศึกเอล กลาซิโก ครั้งที่ 233 ในประวัติศาสตร์ (นับเฉพาะเกมอย่างเป็นทางการ) โดย ราชันชุดขาว มีสถิติที่เหนือกว่าเล็กน้อย ชนะ 93 แพ้ 90 และ เสมอ 50
     อย่างไรก็ตามก่อนที่ทั้งสองทีมจะต้องลงเผชิญหน้ากันในสนาม วันนี้เราจะขอพาไปย้อนดู 5 แมตช์เอล กลาซิโก แห่งความทรงจำในรอบ 10 ปีหลังสุด ว่าจะเป็นอย่างไรบ้างกับแมตช์ที่แฟนลูกหนังให้ความสนในเกือบทั่วทุกมุมโลก

บาร์เซโลนา 5-0 เรอัล มาดริด (29 พ.ย. 2010)

     นี่คือเอล กลาซิโกครั้งแรกของโชเซ มูรินโญ กุนซือที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแท็คติกและที่สำคัญเพิ่งพาอินเตอร์ มิลาน คว้าทริปเปิลแชมป์ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการปราบ บาร์เซโลนา ในรอบตัดเชือกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก โดยก่อนที่ทั้งคู่จะลงเผชิญหน้ากัน มูรินโญ มีสถิติที่สวยหรู เมื่อเอาชนะ 10 จาก 12 นัด และยังไม่แพ้ทีมใดในลีก แถมยังเสริมทัพด้วยผู้เล่นอย่าง เมซุต โอซิล, ซามี เคดิรา และ ชาบี อลอนโซ เพื่อหวังเขี่ย บาร์ซา ตกจากบัลลังก์
     อย่างไรก็ตามเกมดังกล่าวจบลงด้วยการที่ บาร์เซโลนา เปิดบ้านถล่มเรอัล มาดริด ไปขาดลอย 5-0 จากการเรียงหน้ากันทำประตูของ ชาบี เอร์นานเดซ, เปโดร โรดริเกซ, ดาบิด บียา 2 ประตู ก่อนที่จะมาได้ประตูปิดท้ายจากเจฟเฟรน ซัวเรซ โดยเกมนี้มีถึง 13 ใบเหลือง กับ 1 ใบแดงของ เซร์คิโอ รามอส ที่โดนไล่ออกจากสนามหลังไปไล่อัด ลิโอเนล เมสซี จนเกิดเรื่องวุ่นวายในช่วงท้ายเกม
     มูรินโญ พูดถึงเกมนี้ว่า “เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะชนะทุกเกมจนจบฤดูกาล แต่ก็รู้สึกประหลาดใจกับผลการแข่งขันอันเลวร้ายที่ออกมาในคืนนั้น”
     จบฤดูกาล บาร์เซโลนา สามารถป้องกันแชมป์สมัยที่ 3 ติดต่อกันได้สำเร็จ โดยมีแต้มห่างจาก เรอัล มาดริด รองแชมป์ 4 คะแนน

บาร์เซโลนา 2-2 เรอัล มาดริด ( 7 ต.ค. 2012)

     อีกหนึ่งเกมที่เกิดขึ้นในถิ่นคัมป์ นู โดยแมตช์นี้ถูกยกให้เป็นเกมที่เข้าขั้นคลาสสิกเลยทีเดียว เมื่อซูเปอร์สตาร์ชูโรงของทั้ง 2 ทีม อย่าง คริสเตียโน โรนัลโด กับ ลิโอเนล เมสซี ต่างโชว์ฟอร์มการเล่นชนิดสะกดสายตาคนดูซะอยู่หมัด พร้อมกับแสดงให้เห็นว่าทำไมทั้งคู่ถึงได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะที่ดี่สุดของโลก
     เปิดฉากมา 23 นาที โรนัลโด รับบอลจาก คาริม เบนเซมา ก่อนหลุดเข้าไปยิงเสียบมุมที่เสาแรกให้เรอัล มาดริด ขึ้นนำก่อน 1-0 แต่อีก 8 นาทีต่อมาจากความผิดพลาดในแนวรับของทีมเยือนทำให้ เมสซี หลุดเข้าไปยิงตีเสมอเป็น 1-1 จากนั้นในครึ่งหลัง เมสซี คนเดิมมาบวกประตูที่สองของตัวเองจากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลาหน้ากรอบเขตโทษให้บาร์ซาพลิกขึ้นมานำ 2-1 เกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยสามแต้มของเจ้าถิ่นอยู่แล้ว แต่โรนัลโด ที่ครึ่งหลังมีปัญหาบาดเจ็บไหล่หลุดจากการตีลังกายิงพลาดลงพื้นไม่ดี แต่ยังกัดฟันเล่นต่อจนยิงประตูตีเสมอ 2-2 ได้ในที่สุด

เรอัล มาดริด 4-1 บาร์เซโลนา (7 พ.ย.2008)​

     ฤดูกาล 2007/2008 ถือเป็นซีซั่นที่ยอดเยี่ยมและน่าจดจำสำหรับขุนพล "โลส บลังโกส" เมื่อสามารถเอาชนะบาร์เซโลนาในเอล กลาซิโก ได้แบบไปกลับ โดยเกมแรกราชันชุดขาวบุกไปเฉือนชนะที่คัมป์ นู 1-0 ขณะที่เกมนัดที่สองทั้งคู่ต้องมาเจอกันเมื่อเหลือการแข่งขันอีก 3 นัดสุดท้ายจะจบฤดูกาล
     การพบกันที่เบร์นาเบวหนนี้ ราอูล กอนซาเลซ ซัดให้ทีมขึ้นนำไปก่อนตั้งแต่ 13 นาทีแรก จากนั้นรูปเกมทั้งหมดยังเป็นฝั่งราชันชุดขาวที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและมาได้เพิ่มอีก 3 ประตูจาก อาร์เยน ร็อบเบน, กอนซาโล อิกวาอิน และจุดโทษของ รุด ฟาน นิสเตลรอย แม้ท้ายเกม“อาซูลกรานา”จะมาได้ประตูตีไข่แตกจาก เธียรี อองรี 
     แต่สุดท้ายสามแต้มก็ตกเป็นของเรอัล มาดริด ก่อนที่ทีมราชันชุดขาวจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ลา ลีกาไปครองพร้อมกับทิ้งห่าง บียาร์เรอัล ที่ปีนั้นสามารถพุ่งขึ้นมาจบที่อันดับ 2 ถึง 8 แต้ม ส่วน บาร์เซโลนา ทำได้แค่จบอันดับ 3 และมีแต้มห่างจากคู่ปรับตลอดกาลของพวกเขาอยู่ถึง 18 แต้มเลยทีเดียว

เรอัล มาดริด 2-1 บาร์เซโลนา (16 เม.ย. 2014)

     เอล กลาซิโก เที่ยวนี้ต้องโยกไปเตะกันที่เมสตายา รังเหย้าของบาเลนเซียหลังทั้งคู่โคจรมาเจอกันในรอบชิงชนะเลิศศึกฟุตบอลถ้วยโกปา เดล เรย์ ครั้งที่ 113 โดยเกมนี้ เรอัล มาดริด ต้องลงเล่นโดยปราศจาก คริสเตียโน โรนัลโด ที่ติดโทษแบน แต่เมื่อเริ่มเกมไปได้ 11 นาที อังเคล ดิ มาเรีย ซัดให้ทีมออกนำ 1-0 แม้ว่าครึ่งหลัง มาร์ค บาตรา มาโขกตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 68 แต่สุดท้ายยังไม่มีใครลืมภาพที่ แกเรธ เบล สปีดบอลจากกลางสนามสลัดหนี บาตรา เข้าไปซัดประตูชัยในช่วงก่อนหมดเวลา 5 นาที 
     จบเกม ราชันชุดขาว สามารถเก็บชัยชนะพร้อมกับคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ สมัยที่ 19 และเป็นการเอาชนะ บาร์เซโลนา ในนัดชิงชนะเลิศหนที่ 4 ของฟุตบอลรายการนี้อีกด้วย

เรอัล มาดริด 3-4 บาร์เซโลนา ( 23 มี.ค. 2014)

     ถูกยกให้เป็น เอล กลาซิโก ที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีหลังสุด และมาเกิดขึ้นบนสังเวียนซานติอาโก เบร์นาเบว รังเหย้าของทีมราชันชุดขาว โดยเกมนี้มีถึง 3 จุดโทษ กับ 1 ใบแดงของ เซร์คิโอ รามอส
     เปิดฉากมาได้ 7 นาที อันเดรส อิเนียสตา หลุดเข้าไปยิงให้บาร์เซโลนาขึ้นนำก่อน 1-0 จากนั้น คาริม เบนเซมา ก็มารัวให้เรอัล มาดริด แซงขึ้นมานำ 2-1 แต่ ลิโอเนล เมสซี ยังมาตามตีสเมอให้ทีมและทำให้หมดครึ่งแรกเสมอกัน 2-2 เกมมาดุเดือดขึ้นอีกในครึ่งหลังเมื่อ คริสเตียโน โรนัลโด ยิงจุดโทษให้เจ้าถิ่นขึ้นนำอีกครั้ง 3-2 แต่แล้ว เมสซี มาแผลงฤทธิ์ซัด 2 จุดโทษ โดยหนึ่งในนั้นมาจากการฟาวล์ในเขตโทษของ รามอส ทำให้ ราชันชุดขาวเหลือ 10 คน และสุดท้ายต้องพบกับความปราชัยคาถิ่นไปอย่างชอกช้ำ 3-4
     อย่างไรก็ตามเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลกลายเป็น แอตเลติโก มาดริด ภายใต้การนำทีมของ ดิเอโก ซิเมโอเน ที่เข้าป้ายแชมป์ลีกในรอบ 18 ปี ส่วน บาร์เซโลนา และ เรอัล มาดริด จบอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับ จากการมี 87 แต้ม เท่ากัน

     ว่ากันว่าศึกเอล กลาซิโก ครั้งที่ 233 หนนี้ จะมีแฟนลูกหนังติดตามรับชมไม่ต่ำกว่า 650 ล้านคน จาก 185 ประเทศทั่วโลก มากที่สุดนับตั้งแต่ทั้งคู่ลงห้ำหั่นกันมา จากการรายงานของ มาร์กา สื่อเจ้าดังของสเปน อย่างไรก็ตามนอกจากศักดิ์ศรีและชื่อชั้นของทั้ง 2 ทีมแล้ว เกมนี้ยังมีเดิมพันถึงตำแหน่งแชมป์ลา ลีกา ที่ขณะนี้ เรอัล มาดริด จ่าฝูงมี 75 คะแนน นำหน้า บาร์เซโลนา อันดับ 2 ที่มีอยู่ 72 คะแนน อยู่ 3 แต้ม แต่ลงแข่งน้อยกว่า 1 นัด ซึ่งหาก“ราชันชุดขาว”สามารถเก็บชัยชนะหรืออย่างน้อยไม่แพ้ในรังโอกาสเดินหน้าคว้าแชมป์จะอยูในกำมือของพวกเขาเอง แต่ถ้าผิดไปจากที่กล่าวมาความได้เปรียบทั้งหมดจะไปอยู่กับฝั่ง บาร์เซโลนา ทันที


 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ