ข่าว

“ฟิล์ม” รัฐภาคย์ หนุนไทยจัดแข่ง “โมโตจีพี”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“ฟิล์ม” รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ อดีตนักบิดเวิลด์จีพี ขวัญใจชาวไทย เชื่อว่าไทยจะได้รับประโยชน์มหาศาลหากได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพี

           ภายหลังการอนุมัติของ คณะรัฐมนตรีเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันศึกมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกรายการ “โมโตจีพี” โดยรัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณปีละ 100 ล้านบาท จำนวน 3 ปี รวม 300 ล้านบาท เพื่อดำเนินการจัดการแข่งขันในปี 2561-2563 เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน และมอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งงบประมาณส่วนที่เหลือจะหารือกับภาคเอกชน ให้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งส่งผลให้กลายเป็นประเด็นที่มีคนพูดถึงกันอย่างมากในสังคมไทยขณะนี้  

 “ฟิล์ม” รัฐภาคย์ วิไลโรจน์  อดีตนักบิดเวิลด์จีพี ขวัญใจชาวไทย เริ่มจากในรุ่น จีพี 250 และ รุ่นโมโตทู ที่โลดแล่นในสนามแข่งขันระดับโลกมากว่า 10 ปี เปิดเผยว่า เหมือนความฝันที่เป็นจริง ที่จะได้ชมการแข่งขันโมโตจีพีในประเทศของเราเอง เพราะนี่คือที่สุดของศึกมอเตอร์สปอร์ตของโลกในแบบสองล้อ ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของกีฬามอเตอร์สปอร์ต และทุกๆ ฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการผลักดันให้โครงการนี้สำเร็จ จนผ่านการอนุมัติของ ครม. 

          “ตลอดช่วงเวลาที่ผมเป็นนักแข่งซึ่งต้องเดินทางไปแข่งขันกว่า 16 ประเทศทั่วโลกในแต่ละปี เราได้เห็นว่าประเทศต่างๆ เหล่านั้นให้ความสำคัญกับกีฬามอเตอร์สปอร์ตมาก โดยเฉพาะในยุโรปซึ่งมองว่าชนิดนี้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และมีค่ายผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ รวมถึงสินค้าต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมมากมาย ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบของการแข่งขันตลอดทั้งปีไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท เพราะเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลายประเภท ทั้งการจัดการแข่งขัน งานบริการ การขนส่ง ที่พัก อาหาร การท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งในช่วงที่มีการแข่งขันของแต่ละประเทศจะเห็นได้ว่าตามหัวเมืองต่างๆ มีความคึกคักมาก เพราะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางไปยังประเทศนั้นๆ โดยก่อนแข่งราว 1-2 สัปดาห์ จะเห็นได้ว่าแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จะคึกคักมากเป็นพิเศษ แน่นอนว่าหาก โมโตจีพี เกิดขึ้นในประเทศไทยภาพแบบนี้ก็จะมีให้เห็นเช่นกัน”  

         “สิ่งที่สำคัญมากคือเป็นการแสดงให้ทั่วโลกได้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับโลก เพราะเกมระดับโมโตจีพี เขามองทุกอย่างที่เกี่ยวข้องว่าพร้อมจริงๆ จึงจะเดินทางไปจัดการแข่งขัน เริ่มต้นจากเรามีสนามระดับโลกที่บุรีรัมย์ (ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต) ที่เคยรองรับ เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ มาแล้วถึง 3 ปี ฉะนั้นผมมองว่าเราพร้อมแน่นอน รวมถึงเมืองที่จะไปจัดการแข่งขันด้วยว่ามีโรงแรมที่พักเพียงพอ ร้านอาหาร รองรับเพียงพอ และการเดินทางที่ไม่มีปัญหา นั่นหมายความว่าไทยพร้อมเต็มร้อยในการเป็นเจ้าภาพโมโตจีพี”

       “ในมุมของนักกีฬาและคนที่คลุกคลีกับวงการมอเตอร์สปอร์ต ผมเชื่อว่าวงการกีฬามอเตอร์สปอร์ตไทยจะเติบโตแบบมีลำดับขั้นมากขึ้น เพราะจะมีโอกาสได้เห็นการทำงานแบบมืออาชีพในแบบระดับโลกของจริง ว่าในแต่ละช่วงของการแข่งขันที่มีเวลาราวๆ 45 นาที บรรดาทีมแข่งเขาทำงานกันอย่างไร และนักแข่งเองทำงานอย่างไร เพื่อทำให้การเซ็ตอัพรถแข่งออกมาดีที่สุด เพราะเวลาของการแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ตความเร็วเพียงแค่ 1-2 วินาที มันมีค่า มหาศาล สามารถตัดสินแพ้ ชนะกันได้ในเสี้ยววินาที ซึ่งจะทำให้เกิดการตื่นตัวและได้เรียนรู้การทำงานของทีมเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี”

           “ผมมองว่าในอนาคตเราจำเป็นต้องมีนักกีฬาไทย หรือทีมแข่งไทยในเวทีเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ซึ่งตอนนี้ก็มี "ชิพ"นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ นักแข่งไทยหนึ่งเดียวลงแข่งขันอยู่ในรุ่นโมโตทรี ซึ่งหากมีทีมแข่งของไทยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เริ่มตั้งแต่โค้ช นักแข่ง ทีมช่างและรวมทั้งทีมงานของคนไทยอยู่ในรายการระดับโลกแบบนี้ จะช่วยสร้างและพัฒนาวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยให้ตื่นตัวเป็นอย่างมาก เพราะจะสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนอยากเข้ามามีส่วนร่วมในทีมแข่ง ซึ่งเปรียบเหมือน "ทีมชาติไทย" และตัวแทนของประเทศไทยในการแข่งขันระดับโลกนั่นเอง เมื่อทุกอย่างเป็นระบบ คนที่เข้ามาก็ต้องมีมาตรฐานตามระบบที่วางไว้ มันจะทำให้เราก้าวทันทีมในระดับโลก ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปี แต่เป็นสิ่งสำคัญมากจริงๆ ถ้าเราต้องการพัฒนาวงการกีฬามอเตอร์สปอร์ต ให้ทั่วโลกยอมรับและยกระดับประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก เราต้องเริ่มจากพื้นฐานความแข็งแกร่งของทีมทั้งระบบ ซึ่งในขณะนี้ทาง บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกวงการกีฬามอเตอร์สปอร์ตมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 30 ปี ได้วางพื้นฐานและมีนโยบายในการสร้างทีมไทย สายเลือดไทยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวทีเวิลด์จีพี โดยจะเริ่มตั้งแต่การแข่งขันฤดูกาลนี้เลย”

           ทั้งนี้ หากประเทศไทยสามารถเซ็นสัญญากับ ดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์โมโตจีพี ได้ก็จะเริ่มต้นเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันได้ในปี 2561-2563 นั่นหมายความว่าจะเริ่มต้นในปีหน้าต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน ส่วนกำหนดการว่าจะถูกบรรจุเป็นช่วงสนามไหนของปีขึ้นอยู่กับความเหมาะสมด้านต่างๆ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะถูกบรรจุในช่วงเดียวกันกับประเทศญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย และมาเลเซีย เพราะอยู่ในช่วงการเดินทางมาแข่งขันในทวีปเอเชียช่วงเดือนตุลาคมนั่นเอง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ