5 เหตุผลที่จะทำให้"เชลซี"พลาดแชมป์ลีก

     ซึ่งขณะนี้ตำแหน่งในตารางต่างๆก็เริ่มชัดเจนแล้วว่าทีมใดจะมีลุ้นแชมป์ ทีมใดจะไปเล่นฟุตบอลยุโรป หรือทีมใดจะต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นในช่วง 10 นัดสุดท้ายกันบ้าง
     ในส่วนของการลุ้นแชมป์นั้น คงจะชัดเจนแล้วว่า เชลซี คือเต็งหนึ่งอย่างแน่นอน เนื่องจากมีคะแนนนำหน้าอันดับ 2 อย่าง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ และอันดับ 3 อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี อยู่ถึง 10 แต้ม ซึ่งแม้ในทางทฤษฎียังเป็นไปได้ แต่ทางปฏิบัตินั้นถือว่ายากเต็มทีที่จะมีใครแซงหน้าพวกเขาไปคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ ในซีซั่นนี้ได้
     อย่างไรก็ตามในโลกของฟุตบอล สิ่งที่เป็นไปไม่ได้มักจะเกิดให้เราเห็นอยู่เสมอ นั่นเป็นเหตุผลให้ "เดลี เมล์" สื่อชื่อดังของอังกฤษ ตั้ง 5 เหตุผลที่สามารถทำให้ทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" พลาดการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก

1.สะดุดกับทีมเล็กๆ
     ตามธรรมชาติแล้ว เชลซี ถือเป็นทีมที่แข็งแกร่ง และมีฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอ เนื่องจากตัวผู้เล่นในทีมที่มีฝีเท้าระดับโลก รวมถึงแผนการเล่นจากสุดยอดกุนซืออย่าง อันโตนิโอ คอนเต ที่เน้นในทุกจังหวะของเกม อย่างไรก็ตาม เชลซี มักจะพลาดเก็บแต้มง่ายๆกับทีมเล็กในลีกอย่างต่อเนื่องมาหลายฤดูกาล เริ่มจาก สโต๊ก ซิตี ที่สามารถเก็บแต้มจากพวกเขาได้ตลอด 4 ฤดูกาลจาก 6 ซีซั่นหลังสุด, เอฟเวอร์ตัน ที่ เชลซี เอาชนะพวกเขาได้ถึงถิ่น กูดิสัน พาร์ค เพียงแค่ 2 ครั้ง จาก 8 ครั้งหลังสุดในลีกเท่านั้น รวมไปถึง การไปเยือนถิ่น เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ ของ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ที่ทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” เอาชนะได้เพียง 1 ครั้ง จาก 5 ครั้งหลังสุด ซึ่ง เชลซี ยังต้องเจอกับทุกทีมข้างต้นในช่วง 10 นัดสุดท้าย ดังนั้นหากพวกเขาสะดุดอีก ก็อาจเป็นจุดสำคัญที่ทำให้พลาดแชมป์ในปีนี้ได้

2."คอสต้า-กองเต้"ฟอร์มตก

     ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า 2 นักเตะคนสำคัญของ เชลซี ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในซีซั่นนี้คงจะหนีไม่พ้น เอ็นโกโล กองเต้ มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศส และ ดีเอโก คอสต้า หัวหอกทีมชาติสเปน โดยในรายแรก หลังจากที่ “สิงห์บลูส์” คว้าตัวมาจาก เลสเตอร์ ซิตี ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ (1,265 ล้านบาท) เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เจ้าตัวก็กลายเป็นกำลังสำคัญในแดนกลางของทีมทันที ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน และมีจุดเด่นตรงความคล่องตัว และการตัดบอลที่แม่นยำ ยากที่แนวรุกของฝ่ายตรงข้ามจะผ่านเข้าไปทำประตูได้ และทำให้ เชลซี เสียเพียง 20 ประตูในขณะนี้ ขณะที่ คอสต้า ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดในซีซั่นนี้ ด้วยการเป็นดาวซัลโวของทีม ทำไปแล้ว 17 ประตูจากการลงสนาม 25 นัด ซึ่งดีกว่าฤดูกาลที่แล้วซึ่งเจ้าตัวทำไปเพียง 12 ประตู จากการลงสนาม 28 นัด ซึ่งหากทั้ง 2 คนดังกล่าวนัดกันฟอร์มตกเมื่อใด รับรองว่า เชลซี ต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน

3. โฟกัส"เอฟเอคัพ"มากเกินไป
     นอกจากถ้วยพรีเมียร์ลีก แล้ว เชลซี ยังเหลือลุ้นแชมป์อีก 1 รายการ นั่นก็คือ เอฟเอ คัพ ซึ่งก็เป็นถ้วยที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกเป็นที่เรียบร้อย และต้องทำศึกสายเลือดกับทีมร่วมกรุงลอนดอนอย่าง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ดังนั้นในรอบต่อจากนี้ อันโตนิโอ คอนเต คงต้องใช้ผู้เล่นตัวหลักลงสนามแน่นอน ซึ่งจะส่งผลให้สภาพร่างกายของนักเตะไม่ฟิตเหมือนเดิมในช่วงท้ายฤดูกาล เนื่องจากจำนวนเกมที่มากขึ้น และอาจส่ง

4."สเปอร์ส-แมนฯซิตี"ชนะรวดในเกมที่เหลือ

     อีกเหตุผลที่สำคัญ ซึ่งจะทำให้ เชลซี พลาดแชมป์ในซีซั่นนี้ นั่นก็คือการที่ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ทีมอันดับ 2 ของตาราง และ แมนฯซิตี ทีมอันดับ 3 ที่ตามหลัง “สิงห์บลูส์” อยู่ 10 แต้ม โชว์ฟอร์มสุดยอดด้วยการชนะรวดในทุกเกมที่เหลือ ซึ่งจะทำให้ทั้ง 2 ทีมมีแต้มตอนจบฤดูกาลเป็น 89 คะแนน ขณะเดียวกันต้องลุ้นให้ เชลซี พลาดในเกมที่เหลือ ซึ่งพวกเขายังต้องเจอศึกหนักในอีกหลายเกม ทั้ง เจอกับ “เรือใบสีฟ้า” เอง, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน ด้วย

5.เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

     แม้ในขณะนี้สถานการณ์ของ เชลซี จะถือว่าได้เปรียบอย่างมากในการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก โดยนำหน้าอันดับ 2 ถึง 10 แต้ม แต่คำว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของฟุตบอลนั้นไม่ใช่คำที่พูดขึ้นมาลอยๆ เนื่องจากในฤดูกาล 1995-1996 “สาลิกาดง” นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ เควิน คีแกน นำห่างอันดับ 2 อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเดือน ม.ค. ถึง 12 คะแนน แต่ยังพลาดแชมป์ให้ “ปีศาจแดง” เช่นเดียวกับในซีซั่น 2003-2004 แมนฯยูไนเต็ด นำ อาร์เซนอล อยู่ 8 คะแนน ในเดือน มี.ค. แต่สุดท้ายเป็น “ไอ้ปืนใหญ่” ที่แซงหน้าคว้าแชมป์แบบหน้าตาเฉย จึงบอกได้ว่าโลกของฟุตบอลนั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินคาดเดา และไม่มีคำว่าแน่นอนหากยังไม่สิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย

     และทั้งหมดนี้ คือ 5 เหตุผลที่จะทำให้ เชลซี พลาดแชมป์พรีเมียร์ ลีก ในซีซั่นนี้ หลังจากเจอฝันร้ายเมื่อซีซั่นก่อนมาแล้ว อย่างไรก็ตาม หากพวกเขากำจัดจุดอ่อนทั้ง 5 ข้อข้างต้นได้หมด ก็ไม่มีสิ่งใดนอกจากคำว่า "เหมาะสม" สำหรับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ครั้งที่ 5 ในประวัติศาสตร์สโมสร