ข่าว

“คิง คาซู” ตำนานที่ยังมีลมหายใจ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผู้เล่นอายุมากที่สุดซึ่งทำประตูในลีกระดับอาชีพ ด้วย วัย 50 ปี กับ 14 วัน วันนี้จึงขอพาย้อนไปดูเรื่องราวตำนานลูกหนังญี่ปุ่นเจ้าของฉายา"คิง คาซู" กันอีกครั้ง

คาซูโยชิ มิอูระ ตำนานนักเตะที่ยังมีลมหายใจของชาวญี่ปุ่น สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่โลกลูกหนังต้องจารึกขึ้นมาเมื่อเขากลายเป็นผู้เล่นในระดับอาชีพที่อายุมากที่สุดที่สามารถทำประตูได้ แซงหน้าเจ้าของสถิติเดิมผู้ล่วงลับอย่าง เซอร์ สแตนลีย์ แมทธิวส์ ตำนานนักเตะชาวอังกฤษ ที่ทำเอาไว้เมื่อ 52 ปีที่แล้ว

ในการแข่งขันเจ-ทู เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่าง โยโกฮามา เอฟซี กับ เทสป้า คูซัทสึ ได้มีสถิติโลกใหม่เกิดขึ้น เมื่อเจ้าของฉายา “คิง คาซู” อดีตกองหน้าทีมชาติญี่ปุ่น วัย 50 ปี กับอีก 14 วัน สามารถยิงประตูชัยให้ทีมได้สำเร็จในนาทีที่ 40 พาต้นสังกัดคว้าชัยด้วยสกอร์ 1-0 พร้อมกับลบสถิติเดิมที่ เซอร์สแตนลีย์ แม็ทธิวส์ ทำไว้เมื่อตอนอายุ 50 ปี กับ 5 วัน

คาซู กล่าวว่า เขาดีใจที่มีส่วนช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะในเกมดังกล่าว เขารู้สึกดีกับเกมนี้และจะขอเดินหน้าทำประตูต่อไปเรื่อยๆ

จุดเริ่มต้น

ก่อนหน้าจะกลายป็นนักเตะอายุมากสุดที่ทำประตูได้ คาซู ซึ่งเล่นฟุตบอลระดับอาชีพตั้งแต่ปี 1986 เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้เล่นอาวุโสที่สุดที่ลงเล่นในเกมที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) รับรองอย่างเป็นทางการ 1 สัปดาห์ หลังฉลองวันคล้ายวันเกิด ในวัย 50 ปี 7 วัน

เขาเล่นฟุตบอลมาตั้งเเต่ยังเด็กๆ ในยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาวงการฟุตบอล ย้อนกลับไปเมื่อปี 1982 เจ้าตัวตัดสินใจไปฝึกฟุตบอลที่บราซิล เมื่อตอนอายุได้เพียง 15 ปี กับทีมเยาวชน คลับ แอตเลติโก ยูเวนตุส พออายุได้ 19 ปี ย้ายไปอยู่กับ ซานโตส เล่นฟุตบอลอยู่ 3 เดือนก็ย้ายไปอยู่กับพัลไมรัส ต่อด้วยอีกหลายๆทีมในบราซิลและกลับมาเล่นให้ซานโตสอีกครั้งหนึ่ง

กระทั่งปี 1990 ตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นในญี่ปุ่น กับ แวร์ดี้ คาวาซากิ ช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของญี่ปุ่น 3 สมัยติดต่อกัน (1991, 1992, 1993) ระหว่างนั้น คาซู ก็ประสบความสำเร็จมากมาย ได้ตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมลีกญี่ปุ่น 1992 และ 1993 ซึ่งหลังประสบความสำเร็จอย่างมากมายกับแวดี้ รวมไปถึง เกียวโต ซังกา และ วิซเซล โกเบ คาซู ตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเลไปค้าแข้งหลายๆทีมนอกประเทศ ทั้ง เจนัว ที่อิตาลี ดินาโม ซาเกร็บ ที่โครเอเชีย และ ซิดนีย์ เอฟซี ในลีกออสเตรเลีย กระทั่งปี 2005 จึงย้ายมาอยู่ยาวกับ โยโกฮามา เอฟซี จนถึงปัจจุบัน

หัวใจอันเข้มแข็ง

แน่นอนสิ่งที่ทำให้นักฟุตบอลคนหนึ่งยืนระยะอยู่บนถนนสายลูกหนังได้อย่างยาวนานนั้น นอกจากเรื่องของฝีมือและทักษะซึ่งต้องมีอยู่แล้ว อีกสิ่งที่สำคัญย่อมหนีไม่พ้นเรื่องหัวจิตหัวใจ ซึ่งเรื่องนี้ คาซู เหมือนจะมีมากกว่านักฟุตบอลทั่วไป โดยช่วงไปฝึกฟุตบอลบราซิลใหม่นั้นๆ แม้ฟุตบอลญี่ปุ่นกับบราซิลจะมาสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เจ้าตัวก็ต้องเจอกับการเหยียดเชื้อชาติที่ค่อนข้างรุนแรง โดยช่วงแรกที่เล่นในบราซิล เขาไม่ค่อยได้บอลจากเพื่อนร่วมทีมอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็กัดฟันสู้จนถึงที่สุดก่อนตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นที่บ้านเกิด

เมื่อตอน เจลีก เริ่มก่อร่างสร้างตัวใหม่ๆในปี 1993 เขาผ่านการเผชิญหน้ากับ แกรี ลินิเกอร์ ศูนย์หน้าชาวอังกฤษ และ ซิโก ตำนานนักเตะของบราซิล มาแล้ว ซึ่งปัจจุบันนักเตะทั้ง 2 ราย ต่างร้างลาจากสนามไปแล้ว แต่ คาซู ยังคงก้มหน้าก้มตาลงเล่นต่อไปและทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ

 อีกตัวอย่างที่บ่งบอกเรื่องหัวจิตหัวของ คาซู ได้ดี คือ เมื่อปี 1994 ที่เจ้าตัวเป็นนักเตะญี่ปุ่นคนแรกในเวทีกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี โดยลงเล่นกับเจนัว ภายใต้การผลักดันของสปอนเซอร์ส่วนตัว ซึ่งกำลังปลุกกระแสฟุตบอลอิตาลีในดินแดนซามูไร แม้หนึ่งขวบปีในแดนมะกะโรนี คาซู จะได้เล่นให้ เจนัว ในลีกไปแค่ 4 นัด แต่ คาซู ก็ยิงได้ถึง 2 ประตู กลายเป็นผู้เล่นญี่ปุ่นคนแรกที่ยิงประตูในลีกที่ยากที่สุดในโลกยุคนั้นเลยทีเดียว

กับทีมชาติ

ในนามทีมชาติญี่ปุ่น เขาติดทีมชาติมาตั้งเเต่ปี 1990 ฝากผลงานลงเล่น 89 นัด ยิงไป 55 ประตู พาทีมทีมซามูไร บลู คว้าแชมป์เอเชียน คัพ ได้เป็นครั้งแรก กระทั่งประกาศเลิกเล่นทีมชาติเมื่อปี 2000 อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นนักเตะที่ผ่านการค้าแข้งกับหลายสโมสรแต่เขากลับไม่เคยได้สัมผัสโอกาสฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเลยสักครั้ง

ซึ่งเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องโชคชะตาที่เล่นตลกกับเขา โดยในปี 1998 ญี่ปุ่นได้ไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกครั้งแรกที่ฝรั่งเศส หากแต่ คาซู ไม่ได้ไปมีส่วนร่วมดังกล่าว เนื่องจากทะเลาะกับ ทาเคชิ โอกาดะ โค้ชของทีมในเวลานั้น ในการเก็บตัวรอบสุดท้ายที่สวิตเซอร์แลนด์จนต้องยอมนั่งเครื่องบินกลับบ้านมาอย่างช้ำชอกใจ ทั้งที่ในรอบคักเลือกเป็นคนยิงประตูให้ทีมไปถึง 12 ประตู

ปัจจุบัน“คาซู”ยังคงยืนกรานว่าจะขอลงเล่นฟุตบอลต่อไปโดยไม่สนใจเรื่องอายุ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้นักเตะคนหนึ่งยืนระยะได้ขนาดนี้ นอกจากการดูแลสภาพร่างกายที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของจิตใจที่แข็งแกร่งและความรักในเกมฟุตบอลของเจ้าตัว ที่แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 35 ปี นับจากตอนที่เดินทางไปฝึกฝนวิชาลูกหนังที่บราซิล ก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาเปลี่ยนไปแต่อย่างใด

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ