เหตุผลที่ เจอร์ราร์ด ตัดสินใจแขวนสตั๊ดที่วัย 36 ปี ทั้งๆ ที่ยังมีบางที่ให้โอกาสลงสนามต่อ !?
“สตีวีจี” สตีเวน เจอร์ราร์ด ตำนานกองกลาง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งในแวดวงลูกหนังนับจากการอำลาถิ่นแอนฟิลด์ไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพราะคราวนี้จะไม่ได้เห็นมิดฟิลด์รายนี้ในเกมอย่างเป็นทางการอีกแล้ว
เจอร์ราร์ด ใช้เวลาคิดอยู่ระยะหนึ่งหลังจากที่หมดสัญญากับ แอลเอ แกแล็คซี ต้นสังกัดทีมสุดท้ายและทีมที่ 2 ในชีวิต และในที่สุดก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ดสิ้นสุดการค้าแข้งหลังจากที่ทำงานในอาชีพนี้มา 19 ปี ด้วยวัย 36 ปี
เรื่องของเจอร์ราร์ด กับการเป็นนักเตะจึงถูกหยิบยกมาว่ากันอีกครั้งในปีนี้ โดยแม้ว่าจะย้ายทีมไปแล้ว 2 ฤดูกาล แต่เรื่องราวที่น่าจดจำก็ยังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับถิ่นแอนฟิลด์อยู่ดี เพราะช่วงเวลา 17 ฤดูกาลมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นการลงสนาม 710 นัด, 9 ถ้วยแชมป์ ที่มีแชมป์หลักคือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2005 และเอฟเอ คัพ เมื่อปี 2006
เหตุผลที่ เจอร์ราร์ด ตัดสินใจแขวนสตั๊ดที่วัย 36 ปี ทั้งๆ ที่ยังมีบางที่ให้โอกาสลงสนามต่อ เนื่องจากมองว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนเส้นทางไปหาประสบการณ์การเป็นโค้ช ซึ่งหากเริ่มได้เร็วก็มีโอกาสไปได้ไกล
เรื่องนั้นเป็นเรื่องของอนาคต แต่ที่ผ่านมา 19 ปี หากจะมองย้อนอดีตไปอีกสักครั้งก็ยังเป็นเรื่องน่าสนใจอยู่เหมือนเดิม
เส้นทางสายนี้เริ่มขึ้นในฤดูกาล 1998-99 ในเกมที่ลิเวอร์พูล เล่นกับแบล็คเบิร์น ในพรีเมียร์ลีก ส่วนที่มีโอกาสได้ลงสนามจริงๆจังๆ ก็ต้องรอถึงฤดูกาล 1999-2000 ที่สตีวีจีขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ของหงส์แดง หลังจากปรับตำแหน่งจากมิดฟิลด์ฝั่งขวาเข้ามาเป็นหัวใจสำคัญของทีมในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง
ด้วยการเล่นที่สู้ไม่ถอยและเท้าขวาอันทรงพลัง ทำให้ได้เล่นทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2000 และก็เป็นเกมที่ไม่เบาเหมือนกันเพราะเป็นการเล่นกับยูเครน
ในฤดูกาล 2000-01 เป็นฤดูกาลที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด คือลิเวอร์พูล และลิเวอร์พูล คือ สตีเวน เจอร์ราร์ด อย่างแท้จริงจากการคว้าถ้วยแชมป์ได้ 5 โทรฟีในเวลา 12 เดือนจากการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, ยูฟ่า คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และคอมมูนิตี ชิลด์
ในปี 2003 เชราร์ อุลลิเยร์ เล็งเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เจอร์ราร์ด จะก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมหงส์แดงแทนที่ ซามี ฮูเปีย ที่โรยราลงไป แต่ในปีเดียวกันก็เกือบจะไม่มี สตีเวน เจอร์ราร์ด ในถิ่นแอนฟิลด์เหมือนกัน
“สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ก้าวเข้ามาด้วยการยื่นข้อเสนอ แต่สุดท้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจอร์ราร์ด ยังอยู่ แม้ปีต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็น ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ทำหน้าที่ผู้จัดการทีม
ในความร่วมมือฤดูกาลแรก ลิเวอร์พูล หวุดหวิดจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ แต่ที่ไปประสบความสำเร็จคือถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เป็นถ้วยของเจอร์ราร์ด อย่างแท้จริง
เจ้าตัวยิงท้ายเกมให้ทีมผ่านโอลิมเปียกอส เข้ารอบแบ่งกลุ่ม ก่อนพิชิต เลเวอร์คูเซน, ยูเวนตุส และเชลซี ทะลุถึงนัดชิงไปสร้างเกม “ปาฏิหาริย์ แห่งอิสตัลบูล” เป็น สตีวีจี ที่เป็นคนจุดประกายจากการตามหลัง 0-3 ในครึ่งแรก กลับมาคว้าแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษเป็นปี 2005
ถัดจากนั้น 1 ปี เจอร์ราร์ด เอาอีกแล้วยิง 30 หลาตีเสมอ เวสต์แฮม 3-3 ในเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ และลิเวอร์พูลได้แชมป์ด้วยการยิงจุดโทษ
ช่วงเวลาดังกล่าวถึงลิเวอร์พูล จะไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก แต่โดยส่วนตัวแล้ว เจอร์ราร์ด ยังประสบความสำเร็จบ้างกับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมอังกฤษของพีเอฟเอ และของสมาคมนักเตะ
จนกระทั่งปี 2015 เจอร์ราร์ด ไม่ได้รับการต่อสัญญาและตัดสินใจย้ายไปแอลเอ แกแล็คซี อยู่จนครบสัญญา 2 ปี ลงสนาม 34 นัดยิงได้ 5 ประตู
ขณะที่เรื่องทีมชาติได้ลงเล่นถึง 114 นัดถือเป็นสถิติสูงสุดอันดับ 4 ของทีมชาติอังกฤษ ยิงไป 21 ประตูก่อนจะประกาศอำลาทีมชาติไปเมื่อปี 2013
เมื่อกลับอังกฤษ ยังถูกมองไม่แก่เกินแกง ราฟาเอล เบนิเตซ อยากได้ตัวไปช่วยที่นิวคาสเซิล ขณะที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ชวนไปอยู่กับเซลติก ส่วนเอ็มเค ดอนส์ ยื่นข้อเสนอให้เป็นกุนซือ แต่สุดท้ายมีเพียงแค่คำประกาศแขวนสตั๊ดจากกองกลางรายนี้ออกมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง