ข่าว

ความประทับใจต่อในหลวง “น้องวิว” เยาวภา บุรพลชัย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

นักเทควันโดทีมชาติไทย คงไม่มีนักกีฬาคนไหนได้รับโอกาสดีที่สุดในชีวิตเท่ากับ “น้องวิว”เยาวภา บุรพลชัย ที่มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

                 ในบรรดานักเทควันโดทีมชาติไทย คงไม่มีนักกีฬาคนไหนได้รับโอกาสดีที่สุดในชีวิตเท่ากับ “น้องวิว” เยาวภา บุรพลชัย อดีตเจ้าของเหรียญทองแดงกีฬาโอลิมปิกเกมส์ปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ อีกแล้ว 
                 หลังมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมเพื่อนนักกีฬาเหล่าบรรดา “ฮีโร่” ทั้งมวยสากล และยกน้ำหนัก ที่ช่วยกันคว้ามาได้ 3 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว
                 ทันทีที่ “เยาวภา” รู้ว่าจะเดินทางไปพร้อมกับผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการกีฬาเพื่อเข้าเฝ้าฯ “ในหลวง” ค่ำคืนนั้นเจ้าตัวถึงกับนอนไม่หลับจนรุ่งสาง เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่า เกิดมาชาตินี้จะมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเหมือนกับคนอื่นเขา ส่วนใหญ่จะเห็นพระองค์ท่าน แต่ในจอโทรทัศน์
                 ยิ่งชีวิตของ เยาวภา จากเด็กน้อยที่ไม่มีโอกาสมากสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากเกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง คุณพ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย คุณแม่เป็นแม่บ้านและขายน้ำเต้าหูทุกเช้าส่งลูกเรียนหนังสือ แต่สาวน้อยคนนี้ใช้กีฬา “เทควันโด” เป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ สร้างผลงานและชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติจนทุกคนรู้จักไปทั่ว
                 “ชีวิตนี้ไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ เห็นพระพักตร์ในหลวงอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ รู้สึกประทับใจและดีใจอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะตัวเองเป็นแค่เด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่งอายุแค่ 19 ปีเท่านั้นเอง ที่สำคัญได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ กันหมดทั้งครอบครัวคือคุณพ่อธำรงค์ คุณแม่สมศรี และน้องชายประกิต บุรพลชัย ทุกวันนี้หากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ยังขนลุกไม่หายเลย เพราะเหมือนความฝันที่มาเร็วมาก”
                 สำหรับการเข้าเฝ้าฯ ในวันดังกล่าว “ในหลวง” ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งแก่ทุกคนในเรื่องของความอดทนและพากเพียรพยายาม ด้วยการนำบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" มาเล่าให้ทุกคนได้รับฟังนานพอสมควร เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระมหาชนก ทรงอดทนว่ายน้ำในมหาสมุทรด้วยความเพียรพยายาม 7 วัน 7 คืน จนได้พบกับ นางมณีเมขลา ก็เปรียบเสมือนกับชีวิตของการเป็นนักกีฬาจะต้องรู้จักอดทนอดกลั้นและหมั่นฟิตซ้อมดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ สักวันหนึ่งก็ไปสู่จุดมุ่งหมายความสำเร็จได้
                 จากนั้นก็ถึงช่วงเวลาสำคัญนักกีฬาทั้งหมดได้นำเหรียญรางวัลที่รับมาจาก “เอเธนส์เกมส์” ทั้งเหรียญทอง เงิน และทองแดง ใส่พานถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่พระองค์ท่านไม่ขอรับเหรียญดังกล่าว แต่ได้นำเหรียญทั้งหมดกลับมาคล้องคอให้พวกเราทั้งหมดแทน พร้อมรับสั่งว่า “ไม่มีเหรียญใดภาคภูมิใจเท่ากับความสำเร็จที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของตัวเอง ขอให้ทุกคนจงเก็บเหรียญนี้เอาไว้เถอะ เราไม่ต้องการ และขอให้ทุกคนจงรักษาความดีอย่างสม่ำเสมอ" 
ที่สำคัญไปกว่านั้น “ในหลวง” พระราชทานหนังสือพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” ให้ทุกคนกลับมาอ่าน เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติตนในเรื่องของความดีด้วย พร้อมกันนี้พระองค์ท่านยังทรงให้นักกีฬาทั้งหมดและผู้บริหารสมาคม ร่วมกันถ่ายภาพกับพระองค์ท่านแบบไม่ถือพระองค์แต่อย่างใด
                 นับว่า เป็นพระมหากษัตริย์นักกีฬาที่มีความรู้เรื่องกีฬาทุกอย่างยิ่งนัก แถมยังคอยติดตามเชียร์และให้กำลังใจนักกีฬาไทยมาอย่างต่อเนื่อง ในโลกใบนี้คงไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ไหนที่ทรงงานหนักเพืิ่อประชาชนมาหนักถึง 70 ปีอีกแล้ว หลายโครงการพระราชดำริของพระองค์ท่านที่ริเริ่มขึ้นมานั้น ก็เพื่อต้องการให้ประชาชนคนไทยมีความสุขกายสบายใจ ถือว่าเป็นแบบอย่างที่คนไทยและคนทั่วโลกต้องเจริญรอยตาม
                 ทั้งนี้ได้นำแบบอย่างที่ดีของ “ในหลวง” มาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย อาทิ การใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ความมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น และการทำความดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพื่อเป็นลูกที่ดีของพ่อต่อไป
                 ทุกวันนี้ภาพแห่งความประทับใจถึงแม้จะผ่านมากว่า 10 ปีแล้วก็ตาม แต่ยังคงตรึงตราและตรึงใจตัวเองไม่มีวันจางหาย เพราะต่อให้เป็นมหาเศรษฐี หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นใครมาจากไหน ก็คงไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช นานนับเป็นชั่วโมงแน่นอน
                 ณ วินาทีนี้แม้ว่า “ในหลวง” จะจากพวกเราทุกคนไปแล้วก็ตาม แต่ทุกคำสั่งสอนที่พระองค์พระราชทานให้นั้น จะไม่มีวันลืมและอยู่ในหัวใจตัวเองตลอดไป!!


อภิชาติ ระวีวัฒน์ เรื่อง 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ