ข่าว

พระมหากษัตริย์นักกีฬา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงกีฬาหลายชนิด กีฬาที่ทรงโปรดเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยความรู้รอบตัวและความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ทรงเป็นแบบอย่างให้นักกีฬาทุกคน

                     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงฉายแววพระอัจฉริยภาพทางกีฬาหลายประเภทตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ดังปรากฏในพระบรมฉายาลักษณ์เมื่อครั้งประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล อัฐมรามาธิบดินทร พระบรมเชษฐาธิราช ทรงฉลองพระองค์ชุดสกี พร้อมอุปกรณ์การเล่นสกี ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ปุยหิมะขาวโพลน ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 8 พรรษา ทรงพระปรีชาสามารถในการทรงสกี โดยมีนายชาเตอลายนา (Moneieur Chatelanat) ชาวสวิสเป็นครูฝึก ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระบรมราชชนนี ที่มีมาถวายสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ว่า
                     “... นันทกับเล็กสกีหลายหน ทำเก่งกันทั้งคู่ เล็กยิ่งทำดีกว่านันท ทำน่าเอ็นดู ใครๆ เห็นเข้าก็งงงวย เพราะเล็กนิดเดียวทำได้ดีมาก...”
                     นอกจากนั้นยังทรงกีฬาอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น สกีน้ำ ว่ายน้ำ เรือกรรเชียง เรือพาย แบดมินตัน ยิงปืน กอล์ฟเล็ก การแข่งขันรถเล็ก เครื่องร่อน ฯลฯ กีฬาที่ทรงโปรดส่วนใหญ่เป็นกีฬาที่ไม่ได้ใช้พระกำลังเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความรู้รอบตัว เทคนิคไหวพริบ และความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เป็นแบบอย่างให้นักกีฬาทุกคนได้เรียนรู้ศาสตร์ของกีฬาแต่ละชนิดอย่างแท้จริง
 
พระปรีชาสามารถกีฬาแบดมินตัน
                     แบดมินตัน ถือเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงมาก่อนกีฬาเรือใบ โดยในยุคต้นๆ กีฬาแบดมินตันเข้ามาสู่ประเทศไทยนั้น คนไทยไม่ค่อยสนใจกันมากนัก เพราะยังไม่รู้จัก และไม่เคยเห็นมาก่อน พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยคอยติดตามข่าว และเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการแข่งขันครั้งสำคัญๆ อยู่เสมอ ทรงสังเกตวิธีการเล่นของนักแบดมินตันมืออาชีพแต่ละคน นักกีฬาแบดมินตันที่มีชื่อเสียงหลายคนในสมัยนั้น จึงได้รับเชิญให้เข้าไปร่วมเล่นที่สนามกีฬาแบดมินตันในสวนจิตรลดา หนึ่งในจำนวนนั้นมีแชมเปี้ยนโลกชาวสิงคโปร์ชื่อ “ว่อง เป็ง สูน” เข้าร่วมเล่นด้วย โดยทั่วไป จะทรงแบดมินตันสัปดาห์ละ 3 วัน
                     ผู้ที่มีโอกาสได้เข้าร่วมเล่นแบดมินตันกับพระองค์ ซึ่งนอกจากนักกีฬาแบดมินตันแล้ว ยังมีหลวงศรีรัตนาถ คุณหญิงจามรี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา อีกด้วย โปรดเล่นประเภทคู่ และประเภทชายสาม ทรงแบดมินตันอย่างนักกีฬาที่มีน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง คือ ไม่ทรงแสดงอาการกริ้วอย่างใดเมื่อทรงตีลูกเสีย เมื่อผู้ที่ร่วมเล่นตีลูกเสียหรือทรงถูกกระทบกระทั่งพระวรกายจากความเข้มข้นในการเล่น ก็ไม่ทรงถือพระองค์แต่อย่างใด แสดงถึงความเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริงของพระองค์ท่าน จากการที่พระองค์ได้ทรงแบดมินตันกับนักกีฬาเหล่านี้ ทรงเห็นว่า กีฬาแบดมินตันเป็นกีฬาหนึ่งในไม่กี่ประเภทที่คนไทยสามารถไต่เต้าไปสู่ระดับโลกได้ เพราะไม่เสียเปรียบทางรูปร่าง และพละกำลังมากจนเกินไป มีรับสั่งในเรื่องนี้หลายครั้ง ก่อนที่คนไทยหลายๆ คนจะมองเห็นความสำคัญของกีฬาแบดมินตันในสมัยนั้น
                     นอกจากนี้ ยังทรงสามารถวิเคราะห์ถึงวิธีการเล่นของนักแบดมินตันระดับโลกในสมัยนั้นได้ทุกคน และทรงเข้าถึงวิธีการเล่นของแต่ละคนได้อย่างดีที่สุด มีรับสั่งถึงวิธีการแก้ไขการเล่นแก่นักแบดมินตันไทยด้วยความเป็นห่วง
                     ...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ใน พ.ศ.2500 นับตั้งแต่นั้นมา กีฬาแบดมินตันของไทยก็ก้าวหน้าสู่ระดับโลก ซึ่งถ้าหากปราศจากพระมหากรุณาธิคุณ และสายพระเนตรที่ยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว กีฬาแบดมินตันของไทยคงจะไม่สามารถบรรลุผลระดับโลกอย่างที่เป็นทุกวันนี้...
                     ในเรื่องพระราชจริยวัตรในกีฬาแบดมินตันตรงนี้ ในหนังสือ “เส้นทางพิชิตฝัน” ของ ศ.เจริญ วรรธนะสิน อดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทย บันทึกว่า
                     “การแข่งขันในวันนั้นเป็นการแข่งขันหน้าพระที่นั่งและเป็นการแข่งขันที่คนดูมากที่สุด เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างยิ่ง ถึงกับทรงมีรับสั่งภายหลังจากการแข่งขันว่าเป็นการแข่งขันที่สนุก ทั้งตันโจฮอค และข้าพเจ้า แข่งขันกันอย่างนักกีฬา มียิ้มหัวกันตลอดเวลาร่วมชั่วโมงที่ขับเคี่ยวกัน”
นอกจากนี้ ยังมีอีกตอนหนึ่งความว่า
                     “เป็นบุญวาสนาของวงการแบดมินตันไทยเป็นอย่างยิ่ง ที่สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยมิเพียงแต่เป็นสมาคมที่อยู่ภายใต้พระอุปถัมภ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น แต่พระองค์ท่านยังทรงกีฬาแบดมินตันเป็นพระราชกิจวัตร และโปรดปรานแบดมินตันอย่างชนิดจะหาพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกมาเปรียบเทียบมิได้ ด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม วงการแบดมินตันไทยสมัยนั้นได้รับการอุ้มชูสนับสนุนอย่างดีที่สุด และพระนามของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา จึงมีความสัมพันธ์กับวงการแบดมินตันของไทยอย่างแน่นแฟ้นตราบเท่าทุกวันนี้”
และตอนหนึ่งความว่า
                     “พวกเราได้รับพระมหากรุณาธิคุณเข้าเฝ้ากราบบังคมลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่นักแบดมินตันไทยทั้ง 4 ให้พวกเรากระทำตนเป็นนักกีฬาที่ดี รักษาชื่อเสียงของประเทศชาติ และข้าพเจ้าเนื้อตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นและตื้นตันใจ เมื่อรับสั่งชมข้าพเจ้าว่า วันที่แข่งขันกับ ตันโจฮอค เจริญเล่นได้ดี เล่นได้สนุก ไม่เคร่งเครียด สมเป็นนักกีฬาที่ดี จากกระแสรับสั่งในครั้งนั้น ได้มีอิทธิพลอย่างมหาศาลทำให้ข้าพเจ้าเพิ่มความสนุกในการเล่นของตนเองเสมอ และทำให้เข้าใจซาบซึ้งถึงแก่นแท้และคุณค่าของคำว่า นักกีฬา”
 
พระปรีชาสามารถกีฬาเรือใบ
                     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระราชหฤทัยในกีฬาเรือใบเป็นพิเศษ เนื่องจากพระองค์ท่านโปรดการช่างอยู่แต่เดิมแล้ว เรือใบของพระองค์จะทรงต่อด้วยพระองค์เอง และจะทรงทดลองแล่นในสระน้ำภายในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เรือใบฝีพระหัตถ์ลำแรกที่ทรงต่อด้วยพระองค์เองเป็นเรือใบพระที่นั่งเอ็นเตอร์ไพรส์ โดยพระราชทานชื่อเรือว่า “ราชปะแตน” และต่อมาทรงต่อเรือใบประเภทโอเค ขึ้นอีก พระราชทานชื่อว่า “นวฤกษ์” ซึ่งเรือนวฤกษ์นี้เอง ทรงนำมาใช้ในการแข่งขันกีฬาเรือใบในกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 นอกจากนี้พระองค์ท่านยังทรงคิดค้น ออกแบบ และสร้างเรือใบขึ้นมาด้วยพระองค์เองอีก พระราชทานชื่อว่า “เรือใบแบบมด” ทรงมีรับสั่งว่า “ที่ชื่อมดนั้นเพราะมันกัดเจ็บๆ คันๆ ดี” ต่อมาทรงพัฒนาเรือแบบมดขึ้นมาใหม่โดยได้พระราชทานชื่อว่า เรือใบ “แบบซูเปอร์มด” และเรือใบในตระกูลมดนี้ลำสุดท้ายที่ทรงออกแบบคือเรือใบ “แบบไมโครมด” ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักแล่นเรือใบทั้งหลาย
                     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงต่อเรือขึ้นมาอีกลำหนึ่งเป็นเรือใบประเภทโอเค พระราชทานชื่อเรือว่า “VEGA” หรือ เวคา (ชื่อดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่สุกสว่างมาก) ทรงใช้เรือลำนี้เสด็จฯ ข้ามอ่าวไทยจากพระราชวังไกลกังวลหัวหิน ไปขึ้นฝั่งที่หาดเตยงามในหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินด้วยลำพังพระองค์เอง เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2509 ซึ่งในการต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหางเสือเรือเวคา เพื่อเป็นรางวัลนิรันดรในการแข่งขันเรือใบระยะทางไกลของประเทศไทย นอกจากนี้ยังทรงก่อตั้งสโมสรเรือใบส่วนพระองค์ขึ้นคือสโมสรเรือใบจิตรลดา ทั้งยังมีพระมหากรุณาธิคุณรับสโมสรเรือใบต่างๆ มาไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เช่น สโมสรเรือใบราชวรุณ สโมสรเรือใบกรมอู่ทหารเรือ สโมสรเรือใบฐานทัพเรือสัตหีบ สโมสรเรือใบนาวิกโยธิน และสโมสรเรือใบกองเรือยุทธการ เป็นต้น
                     ด้วยเหตุที่โปรดการต่อเรือใบประเภทต่างๆ ดังกล่าว ม.จ.ภีศเดช รัชนี ได้ทรงเล่าถึงพระราชดำรัสของพระองค์ท่านในหนังสือ อสท. เรื่องทรงเรือใบ ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ไว้ว่า “ปีใหม่คนอื่นๆ เขาไปฉลองกัน เสียเงินมาก แต่เราเสีย 147 บาท เท่านั้น เป็นค่าไม้ยมหอม และค่าเบียร์ฉลองปีใหม่ แต่เรายังสนุกกว่าเขาอีก แล้วเป็นประโยชน์ด้วย”
จากพระราชดำรัสที่กล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าพระองค์ท่านทรงให้ความสนพระราชหฤทัยในการกีฬาเรือใบนี้อย่างแท้จริง จึงได้ทรงต่อเรือใบด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ซึ่งมีเพียงแต่พระองค์ท่านที่เป็นพระประมุขของชาติไทยพระองค์เดียวในโลกนี้เท่านั้น ที่มีพระปรีชาสามารถในด้านเรือใบ
                     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าร่วมแข่งขันกีฬาแหลมทอง (ปัจจุบัน คือ กีฬาซีเกมส์) ครั้งที่ 4 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 9 ถึง 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 โดยทรงลงแข่งขันในกีฬาเรือใบประเภทโอเค ซึ่งเป็นเรือที่ทรงต่อเอง ร่วมกับ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระราชธิดาพระองค์โต ทรงร่วมการแข่งขันในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทยคนหนึ่ง ทรงซ้อมและเก็บตัวเหมือนนักกีฬาทั่วไป และทรงชนะเลิศการแข่งขันเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม โดยทรงขึ้นรับเหรียญทองบนแท่นเหมือนนักกีฬาทั่วไป ในพิธีปิด ณ สนามศุภชลาศัย ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2529 กำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันกีฬาแห่งชาติ
 
พระมหากรุณาธิคุณแก่การกีฬา
                     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่วงการกีฬา ทรงรับการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 5, 6, 8 และ 13 รวมทั้งกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 1, 4, 8 และกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 13, 18 ซึ่งทั้งหมดนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทั้งพระราชทานไฟพระฤกษ์เพื่อใช้ในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาต่างๆ ได้แก่ กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ กีฬาแหลมทอง กีฬาซีเกมส์ กีฬาแห่งชาติ กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ทรงเป็นองค์ราชูปถัมภ์ของสมาคมกีฬาสมัครเล่นถึง 13 สมาคม โปรดเกล้าฯ ให้นักกีฬาเข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพรก่อนเดินทางไปแข่งขันกีฬาใหญ่ อาทิ ซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นักกีฬาและผู้เกี่ยวข้องในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 26, 27 และ 28 เข้าเฝ้าฯ หลังการแข่งขัน พระราชทานทุนแก่นักกีฬาไปฝึกซ้อมและแข่งขันต่างประเทศ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อเป็นขวัญ กำลังใจ และสิริมงคลแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการกีฬา
                     นอกจากนี้ยังเคยเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการแข่งขันชกมวยสากลอาชีพ ชิงแชมป์โลก รุ่นฟลายเวท ของ โผน กิ่งเพชร กับ ปาสคาล เปเรซ นักชกอาร์เจนตินา ที่เวทีมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2503 ที่นักชกไทยได้รับชัยชนะ ได้ครองตำแหน่งแชมป์โลกคนแรกของประเทศไทย จากนั้นเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2506 เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการชกของโผน กับ ไฟติ้ง ฮาราดา ที่ยิมเนเซียม 1 (ปัจจุบันคืออาคารนิมิบุตร) สนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งหนังสือ พระมหากษัตริย์นักกีฬา ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย จัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2549 บันทึกไว้ว่า
                     “มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเมื่อโผนชกไปถึงยก 7 หรือยก 8 ตอนนั้นไม่แน่ใจ ในเวลานั้นโผนทำท่าจะหมดแรง แล้วมีคนตะโกนว่า พระองค์เสด็จมาแล้ว โผนได้ยินก็มีกำลังใจฮึดขึ้นมาทันที จนคว้าชัยชนะมาครองได้สำเร็จ”
                     และเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2509 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการชกชิงแชมป์โลกของ ชาติชาย เชี่ยวน้อย กับ วอลเตอร์ แม็คโกแวน แชมป์โลกรุ่นฟลายเวท ชาวอังกฤษ ที่สนามกีฬากิตติขจร ซึ่งจากหนังสือ “ชาติชาย เชี่ยวน้อย วีรบุรุษเจ้าน้ำตา หมัดภูผาหิน” บันทึกเหตุการณ์หลังการชก ที่ชาติชายคว้าแชมป์โลกได้ว่า
                     “ผมลงจากเวที แล้วตรงไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทันทีที่ผมไปถึงหน้าพระที่นั่ง พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์มาจับหน้าผม แล้วทรงเขย่าเบาๆ จากนั้นมีรับสั่งว่า เก่งมาก ฉันดีใจมาก ผมรู้สึกปลาบปลื้มมาก หาที่สุดไม่ได้เลย”
                     ด้วยพระราชกรณียกิจที่ทรงพระปรีชาสามารถทางการกีฬาจนเป็นที่เลื่องลือ และได้มีการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์วงการกีฬาอันเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) จึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ และได้ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองดุษฎีกิตติมศักดิ์ของโอลิมปิก คือ “อิสริยาภรณ์โอลิมปิกสูงสุด (ทอง)” เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2530 นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย ที่ทรงได้รับเกียรติยศดังกล่าว นอกจากนี้เมื่อปี พ.ศ.2543 ไอโอซี ยังได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “ลาลาลูนิส คัพ” ซึ่งได้จัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2539 เพื่อเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของไอโอซี ในการเชิดชูและประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลที่เคยเป็นนักกีฬาดีเด่น และเป็นแบบอย่างที่ดียิ่งต่อสังคมที่ไอโอซียังไม่เคยมอบรางวัลนี้แก่ผู้ใดมาก่อน
                     ส่วนสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (โอซีเอ) มีมติเอกฉันท์เมื่อปี พ.ศ.2541 ให้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลเมอริต วอร์ด เป็นการประกาศเกียรติคุณในด้านการกีฬาที่พระองค์เป็นผู้บำเพ็ญประโยชน์ในวงการกีฬา ขณะที่สมาคมคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ (ANOC) ได้มีมติทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล ANOC Merit Award ซึ่งประกอบด้วย สร้อย พร้อมใบประกาศนียบัตรสลักพระปรมาภิไธยฯ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) โดย นายโจเซฟ แบล็ตเตอร์ ประธานฟีฟ่า ได้กล่าวสดุดีพระองค์ทางโทรทัศน์ ก่อนพิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลโลก ค.ศ.2006 เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และสภามวยโลก ได้ลงมติเอกฉันท์ถวายเหรียญรางวัลทองคำเกียรติยศสูงสุด ชื่อ Golden Shining Symbol of World Leadership เพื่อตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสนับสนุนการกีฬาของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬามวย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2544 ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
 
พระจริยวัตรด้านการออกกำลังกาย
                     นอกจากทรงเข้าร่วมเล่นกีฬาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เช่น วิ่ง และเดินเร็ว ทรงออกกำลังพระวรกายสม่ำเสมออย่างถูกหลักวิชาการ มีการบันทึกพระชีพจร ความดันพระโลหิตทั้งก่อนและหลังทรงออกกำลังพระวรกาย ในขณะเดียวกันทรงกระตุ้นพระวรกายให้เกิดความอบอุ่นก่อนเริ่มเล่นกีฬา และผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อหลังจากออกกำลังพระวรกาย ทรงปฏิบัติเช่นนี้เป็นกิจวัตร เป็นแบบฉบับของนักกีฬาที่ดี
                     จากความสนพระราชหฤทัยการกีฬาในแนวทางที่เป็นวิทยาศาสตร์ ด้วยการออกกำลังพระวรกายอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ใน พ.ศ.2510 ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาขององค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย ในขณะนั้น หรือการกีฬาแห่งประเทศไทย ในปัจจุบัน ได้นำ ศ.นพ.ฮาราลด์ เมลเลโรวิทซ์ ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์ประสิทธิภาพ มหาวิทยาลัยเสรี นครเบอร์ลิน เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ เปิดเผยว่า “...ทรงสนพระทัยในวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับสั่งถาม ให้ความเห็นและคำแนะนำมากมายเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง...”
                     ผลจากการเข้าเฝ้าฯ ครั้งนั้น ช่วยให้กิจการด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาของประเทศไทย ดำเนินไปด้วยดีมาเป็นลำดับด้วยการช่วยเหลืออย่างเต็มที่จาก ศ.นพ.ฮาร์ราล เมลเลโรวิทช์ ซึ่งความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทมาโดยตลอด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทวีติยาภรณ์ช้างเผือก อันเป็นเครื่องอิสริยาภรณ์ชั้นสูงที่พระราชทานสำหรับชาวต่างประเทศ ที่ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ.2522
ขณะที่ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี แพทย์ประจำพระองค์ ได้เคยกล่าวถึงพระราชจริยวัตร ในการอภิปรายหัวข้อเรื่อง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับการกีฬา” ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2530 ว่า
                     “...พระองค์ทรงสนพระทัยในกีฬาเกือบทุกชนิด ตลอดจนออกกำลังพระวรกายด้วยการทรงพระดำเนินเร็ว หรือที่เรียกว่าจ๊อกกิ้ง อาจจะเป็นเพราะทรงมีพระราชกรณียกิจต่างๆ มากมาย จึงไม่ได้ทรงกีฬาบ่อยๆ อย่างไรก็ตาม ก็ยังทรงจ๊อกกิ้งเป็นประจำ ถึงแม้ในช่วงแปรพระราชฐานไปในสถานที่ต่างๆ ในเวลากลางวัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุทิศเวลาเพื่อราษฎร กว่าจะเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจ แม้จะเป็นเวลามืดค่ำ ก็ยังทรงออกกำลังพระวรกายด้วยวิธีการทรงพระดำเนินเร็ว เป็นระยะทางหลายร้อยเมตร เพื่อให้พระวรกายของพระองค์แข็งแรง พร้อมที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปในที่ต่างๆ...”
                     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใส่พระราชหฤทัยกับการออกกำลังพระวรกายอยู่เสมอ เมื่อ พ.ศ.2525 ภายหลังเสร็จสิ้นการออกกำลังเพื่อฟื้นฟูพระวรกาย หลังจากพระประชวร ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำรัสแก่ข้าราชบริพารว่า
                     “...การออกกำลังกายนั้น ถ้าทำน้อยเกินไป ร่างกายและจิตใจก็จะเฉา ถ้าทำมากเกินไป ร่างกายและจิตใจก็จะช้ำ...”
                     ซึ่งตรงกับหลักการของวิทยาศาสตร์การกีฬาโดยแท้
                     ด้วยความสนพระราชหฤทัยและพระปรีชาสามารถในด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาดังกล่าว สภามหาวิทยาลัยมหิดล ในการประชุม ครั้งที่ 195 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2534 จึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2534 ดังคำประกาศสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณ ตอนหนึ่งว่า
                     “...วิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นสาขาวิชาการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัย และทรงมีพระปรีชาสามารถยิ่งนัก ตลอดเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าพระราชกิจอย่างหนึ่งในตอนค่ำคือ การทรงกีฬา และการบริหารพระวรกายทุกวันมิได้ขาด ทุกครั้งจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ตรวจวัดความเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในพระวรกายเป็นประจำ ได้ทรงศึกษาในเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬาเป็นการส่วนพระองค์มาโดยต่อเนื่อง นอกจากจะทรงมีพระสุขภาพอนามัยแข็งแรง ทรงเป็นตัวอย่างแก่บรรดานสกนิกรแล้ว ยังทรงพระเมตตาพระราชทานความคิดและแนวทางปฏิบัติในเรื่องวิทยาศาสตร์และการกีฬาตลอดมา ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ทั้งในด้านความสมบูรณ์ของร่างกาย และการพัฒนาอุปนิสัยที่ดีงามในส่วนรวมอีกด้วย”

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ