ข่าว

"ไข้นกแก้ว" ติดเชื้อยังไง อาการเป็นอย่างไร พบระบาดหลายประเทศ ดับแล้ว 5 ราย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดข้อมูล "ไข้นกแก้ว" หรือ "โรคซิตตาโคซิส" ติดเชื้อยังไง อาการเป็นอย่างไร จะป้องกันได้ไหม หลังพบระบาดในหลายประเทศ ดับแล้ว 5 ราย

องค์การอนามัยโลก "WHO" ออกมาเตือน 5 ประเทศในยุโรป "ไข้นกแก้ว" หรือ "โรคซิตตาโคซิส" เป็นโรคคล้าย ไข้หวัดใหญ่ ที่เกิดจากการสัมผัสกับ นก เชื้อทำให้เกิดโรคปอดบวมรุนแรงหรือสมองและหัวใจอักเสบ โดยในยุโรปมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย และจำนวนการติดเชื้อเพิ่มขึ้น อย่างผิดปกติ 5 ประเทศ ประกอบด้วย ออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี สวีเดน และเนเธอร์แลนด์ (EWRS) สหภาพยุโรป พบว่ามีผู้ป่วย โรคซิตตาโคซิส เพิ่มขึ้นในปลาย ปี 2023 และต้นปี 2024 โดยเฉพาะในเดือน พ.ย. - ธ.ค. และต้นปี 2024

 

 

โดยทางเพจ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ เปิดข้อมูล "โรคซิตตาโคซิส" (Psittacosis) เกิดจากการที่สัตว์ปีกไปติด เชื้อแบคทีเรีย ชนิด Chlamydia psittaci และอาจมีบางเคสที่ติดต่อสู่คน และทำให้เกิด "โรคซิตตาโคซิส" ขึ้น ซึ่งมักจะเป็นคนที่ใกล้ชิดกับนกที่เป็นสัตว์เลี้ยง เช่น นกแก้ว นกกระตั้ว และเป็ดไก่ โรคนี้ทำให้เกิดอาการป่วยแบบไม่รุนแรง หรือเกิดอาการปอดบวม (pneumonia) จากการติดเชื้อที่ปอด ซึ่งป้องกันโรคนี้ได้ด้วยการระมัดระวังเวลาสัมผัสและทำความสะอาดสัตว์ปีกและกรงของมัน

 

 

มีหลายคนเรียก "โรคซิตตาโคซิส" นี้ว่า โรคนกแก้ว หรือ "ไข้นกแก้ว" (parrot fever) แต่แบคทีเรียดังกล่าวสามารถติดต่อสู่นกได้หลากหลายชนิด ขณะที่เชื้อแบคทีเรีย Chlamydia psittaci นี้ ในอดีตก็เคยมีการเรียกในชื่ออื่นๆ เช่น Chlamydophila psittaci

 

 

แม้ว่า "โรคซิตตาโคซิส" จะนับว่าเป็นโรคที่พบได้ยากในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่คาดว่าจริงๆ แล้ว มันน่าจะมีการรายงานน้อยกว่าความเป็นจริง และมันยังสามารถจะเกิดการระบาดใหญ่ได้ด้วย โดยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 เป็นต้นมา มีรายงานน้อยกว่า 10 เคสต่อปีในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ในปี ค.ศ. 2018 เคยเกิดการระบาดของ โรคซิตตาโคซิส ขึ้นในหลายรัฐ กับกลุ่มคนงานโรงงานเนื้อสัตว์ปีก โดยมี 13 เคสที่ได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการ ขณะที่ได้เคยเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก ของ โรคซิตตาโคซิส มาแล้ว ในปี ค.ศ. 1929 และ 1930 โดยมีผู้ติดเชื้อประมาณ 800 รายทั่วโลก รวมถึงในสหรัฐอเมริกาด้วย

 

 

นกแก้ว

 

  • การแพร่ระบาด 

 

เชื้อแบคทีเรีย ชนิดที่ก่อโรคนี้ สามารถติดต่อสู่คนที่ไปสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ปีกที่ติดเชื้อ ซึ่งนกที่ติดเชื้อนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงอาการป่วยออกมา แต่ก็สามารถแพร่เชื้อได้ ผ่านมูลและสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ เมื่อมูลและสารคัดหลั่งของนกแห้งและกลายเป็นผงฝุ่นขนาดเล็ก (ซึ่งมีเชื้อแบคทีเรียอยู่) ก็สามารถฟุ้งกระจายในอากาศ และพบว่าเคสของผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ เกิดจากการหายใจเอาฝุ่นของมูลนกแห้งเข้าไป มีเพียงส่วนน้อยที่เกิดจากการถูกนกกัด หรือไปจูบปากของนก

 

โดยทั่วไปแล้ว โรคซิตตาโคซิส ไม่ได้แพร่กระจายจากคนสู่คน แม้ว่าจะเคยมีเคสที่หาได้ยากเกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่ามีการแพร่เชื้อแบคทีเรียก่อโรคผ่านการเตรียมอาหารหรือรับประทานสัตว์ปีกเป็นอาหาร

 

พบว่าคนที่เพศวัย มีความเสี่ยงที่จะติดโรคซิตตาโคซิสได้ แต่รายงานส่วนใหญ่มักเป็นในกรณีของผู้ใหญ่ (มากกว่าเด็ก) โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จะเป็นคนที่สัมผัสกับนกที่เป็นสัตว์เลี้ยงและพวกเป็ดไก่ รวมถึงคนที่มีอาชีพเกี่ยวกับนก ได้แก่ เจ้าของนก ลูกจ้างในร้านสัตว์เลี้ยง คนงานฟาร์มเป็ดไก่ และสัตวแพทย์

 

 

  • อาการ 

 

อาการของ โรคซิตตาโคซิส จะคล้ายคลึงกับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ โดยในคนส่วนใหญ่จะมีอาการป่วยไม่รุนแรง คือ เป็นไข้ หนาวสั่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ไอแห้ง คนส่วนใหญ่เริ่มมีอาการภายใน 5-14 วันหลังจากได้รับ เชื้อแบคทีเรีย Chlamydia psittaci และอาจมีแค่บางคนที่เริ่มป่วยเมื่อผ่านไปแล้วถึง 14 วัน

 

ส่วนในสัตว์ปีกนั้น อาการของการติดเชื้อ C. psittaci จะดูไม่ค่อยจำเพาะเจาะจง ประกอบไปด้วยอาการ ไม่เจริญอาหาร ตาอักเสบ หายใจลำบาก ท้องร่วง และนกที่ติดเชื้อนั้นอาจจะไม่แสดงอาการป่วยเลยก็ได้ (สัตวแพทย์ มักเรียกโรคนี้ที่เกิดขึ้นในสัตว์ปีกติดเชื้อ ว่า avian chlamydiosis)

 

 

  • การวินิจฉัยโรค 

 

อาการของ โรคซิตตาโคซิส จะคล้ายคลึงกับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ อีกหลายโรค และก็ยังไม่มีวิธีตรวจวิเคราะห์หาเชื้อแบคทีเรียโดยตรง ทำให้แพทย์ไม่ค่อยจะสงสัยว่าเป็นโรคนี้ และทำให้ค่อนข้างยากต่อการวินิจฉัย ศูนย์ CDC เองก็ไม่ค่อยจะได้รับรายงานถึงโรคซิตตาโคซิส

 

จึงควรจะแจ้งแพทย์ให้ทราบ ถ้าเกิดอาการป่วยหลังจากซื้อหรือไปสัมผัส กับนกเลี้ยงหรือเป็ดไก่ แพทย์จะใช้วิธีการตรวจหลายๆ วิธีในการพิจารณาว่าเป็นโรคซิตตาโคซิสหรือไม่ ซึ่งรวมถึงการเก็บเสมหะ เลือด หรือสว็อบตัวอย่างจากในจมูกหรือช่องคอ มาตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย

 

 

  • การรักษา 

 

คนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคซิตตาโคซิส นั้น มักจะได้รับ ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) เพื่อรักษาโรค ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วถ้าได้รับยาปฏิชีวนะหลังจากที่เริ่มป่วย และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมแล้วนั้น ส่วนมากจะหายเป็นปรกติได้ มีเพียงแค่บางคนที่มีอาการรุนแรงและต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล เช่น เกิดอาการปอดบวม (ปอดติดเชื้อ) ลิ้นหัวใจอักเสบ ตับอักเสบ เส้นประสาทหรือสมองอักเสบ ทำให้เกิดปัญหากับระบบประสาท ส่วนอัตราการเสียชีวิตนั้นน้อยมาก คือน้อยกว่า 1 ใน 100 เคส (ถ้าได้รับยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม)

 

 

  • การป้องกันโรค 

 

ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน โรคซิตตาโคซิส และถ้าเคยติดโรคนี้แล้ว ก็สามารถติดได้อีกในอนาคต แต่สามารถดูแลป้องกันตนเองและผู้อื่นได้ เช่น ซื้อนกจากร้านสัตว์เลี้ยงที่เชื่อถือได้เท่านั้น และถ้ามีหรือทำงานเกี่ยวกับนกหรือสัตว์ปีก ให้ระมัดระวังในการสัมผัสจับต้องและทำความสะอาดตัวนกและกรง ได้แก่

 

  • รักษาความสะอาดของกรง, ทำความสะอาดกรง และถ้วยน้ำถ้วยอาหาร ทุกวัน
  • จัดวางตำแหน่งของกรง ไม่ให้อาหาร ขนนก และมูลนก กระจายถึงกันได้ (กล่าวคือ อย่าวางกรงซ้อนทับกัน, ใช้กรงที่มีผนังปิดด้านข้าง หรือหาที่กั้นระหว่างกรง ถ้าจำเป็นต้องวางกรงไว้ข้างกัน)
  • หลีกเลี่ยงไม่ให้นกอยู่แน่นกรงเกินไป
  • แยกนกที่ติดเชื้อออกไปทำการรักษา
  • ใช้น้ำและยาฆ่าเชื้อ ราดบนพื้นผิวกรง ก่อนที่จะทำความสะอาดกรงหรือพื้นผิวที่มีมูลนกเปื้อนอยู่ หลีกเลี่ยงการเช็ดแบบแห้งหรือใช้เครื่องดูดฝุ่น เพื่อลดการกระจายของขนนกและฝุ่น (ที่ปนเปื้อนเชื้อ) อย่าลืมล้างมือของคุณให้ทั่วด้วยน้ำไหลผ่าน และสบู่ หลังจากที่สัมผัสกับนกหรือมูลของมัน
  • ใช้อุปกรณ์ป้องกันตัว เช่น ถุงมือ และหน้ากากที่เหมาะสม เมื่อต้องสัมผัสจับต้องนกที่ติดเชื้อ หรือทำความสะอาดกรงของมัน

 

 

ภาพ : freepik

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ