ข่าว

16 คำถาม 'ไวรัสมาร์บวร์ก' อันตรายแค่ไหน ควรกังวลหรือไม่ ป้องกันอย่างไร

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

16 คำถาม จากศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เกี่ยวกับ 'ไวรัสมาร์บวร์ก' อันตรายแค่ไหน ควรกังวลหรือไม่ ป้องกันอย่างไร หลังมีการระบาดคร่าชีวิตแล้วหลายราย

'ไวรัสมาร์บวร์ก' เริ่มเป็นที่จับตามากขึ้น ภายหลังมีการขยายการติดเชื้อเป็นวงกว้างเพิ่มขึ้น โดยที่ประเทศแคเมอรูน พบผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ 2 ราย ขณะที่ก่อนหน้านี้ได้มีการ ระบาด ที่ประเทศอิเควทอเรียลกินี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 9 ราย

 

 

ซึ่งทาง กระทรวงสาธารณสุข ได้เฝ้าติดตามการระบาดของ 'ไวรัสมาร์บวร์ก' อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นโรคที่มีความรุนแรงสูง ประเทศไทยกำหนดให้เป็น 1 ใน 13 โรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มีอัตราการป่วยเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 88 เป็นไวรัสในสกุลเดียวกับไวรัสอีโบลา คือ Filoviridae

 

ล่าสุดทาง ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับ 'ไวรัสมาร์บวร์ก' โดยมีดังนี้

 

1. 'ไวรัสมาร์บวร์ก' เป็นไวรัสประเภทใด อันตรายแต่ไหน ควรกังวลหรือไม่


ไวรัสมาร์บวร์กเป็นอาร์เอ็นเอไวรัสรูปร่างเป็นแท่งสายยาวคล้ายถั่วงอก มีจีโนมขนาด 19,000 bp ประกอบด้วย 7 ยีนสำคัญ 3′-UTR-NP-VP35-VP40-GP1-GP2-VP30-VP24-L-5′-UTR  มีขนาดเล็กกว่าไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นทรงกลมคล้ายผลทุเรียน มีจีโนมขนาด 30,000 bp ประกอบด้วย 13-15 ยีน มีการติดเชื้อได้ง่ายจากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ แต่โคโรนา 2019 แพร่เชื้อได้ดีกว่าเพราะสามารถแพร่ติดต่อทางอากาศได้ ไวรัสมาร์บวร์กมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 88% อยู่ในตระกูล 'ฟิโลวิริแด (Filoviridae)' เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลาที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ไวรัสมาร์บวร์กทำให้เกิดไข้เลือดออกรุนแรงในมนุษย์และลิงหลายประเภท เป็นโรคที่เป็นภัยคุกคามถึงชีวิต

 

  • ไวรัสมาร์บวร์กมีระยะฟักตัว 2-12 วัน หากติดเชื้อในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดอุปกรณ์ในการรักษา  อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 90% หากมีการติดเชื้อรุนแรงมักเสียชีวิตวันที่ 8 หรือวันที่ 9 หลังจากมีอาการ เนื่องจากการเสียเลือดและตกเลือดภายในอย่างรุนแรง อวัยวะหลายส่วนเกิดการทำงานล้มเหลว
  • สามารถแสดงอาการอย่าง "ฉับพลัน" เริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ไม่สบายตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและเป็นตะคริว โดยอาจรวมถึงดีซ่าน คลื่นไส้ ปวดท้อง และท้องเสีย
  • จากนั้นอาจพบผื่นที่ไม่มีอาการปรากฏบริเวณหน้าอก หลัง หรือท้องในวันที่ 5

 

ไวรัสมาร์บวร์ก

 

  • การวินิจฉัย โรคมาร์บวร์ก ในระยะแรกจากอาการ "เป็นเรื่องยาก" เนื่องจากมีอาการหลายอย่างคล้ายกับโรคติดเชื้อประเภทอื่น เช่น มาลาเรีย ไข้ไทฟอยด์ และอีโบลา ปัจจุบันสามารถตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติยืนยันการติดเชื้อได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วด้วยเทคนิค RT-PCR 
  • ยังไม่มี วัคซีน หรือ ยาต้านไวรัส ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กเป็นการเฉพาะ ดังนั้นเมื่อพบผู้ติดเชื้อจึงต้องรีบแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชน เช่นแยกไปรักษาที่เต้นสนามเพื่อมิให้แพร่เชื้อต่อผู้อื่น การรักษาเป็นแบบประคับประคองตามอาการอันสามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ เช่น การให้น้ำกลับคืนด้วยสารน้ำทางปากหรือทางหลอดเลือดดำ การรักษาระดับออกซิเจน การใช้ยาบำบัดตามอาการที่เกิดขึ้น
  • องค์การอนามัยโลก บรรยายลักษณะการติดเชื้อที่รุนแรงหลังวันที่ 5 ของผู้ป่วยติดเชื้อมีลักษณะคล้ายผี (Ghost-like) ด้วยลักษณะดวงตากลวงลึก (เนื่องจากเสียน้ำ) ใบหน้าซีด (เนื่องจากเสียเลือด) ไร้ความรู้สึก มีอาการหมดเรี่ยวแรงและง่วงนอนตลอดเวลา

 

 

2. 'ไวรัสมาร์บวร์ก' พบครั้งแรกเมื่อไร 

 

ไวรัสถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2510 หรือเมื่อ 56 ปีมาแล้ว โดยเกิดการระบาดในหมู่พนักงานห้องแล็บชีวภาพในเมืองมาร์บวร์ก ประเทศเยอรมัน โดยมีการติดเชื้อไวรัสจากลิงเขียวแอฟริกัน (African green monkey) ซึ่งนำเข้ามาจากยูกันดา ซึ่งเชื่อว่าไวรัสมาร์บวร์กอุบัติขึ้นและแพร่ระบาดในลิงมานานแล้วตามธรรมชาติ

 

 

3.ไวรัสมาร์บวร์กเป็นดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอไวรัส

 

ไวรัสมาร์บวร์กเป็นไวรัสอาร์เอ็นเอสายเนกาทีฟ มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการกลายพันธุ์ที่สูงกว่าดีเอ็นเอไวรัสเนื่องจากเอนไซม์ของไวรัสมาร์บวร์กควบคุมการสร้างสายจีโนมของไวรัสรุ่นลูกและรุ่นหลานหละหลวม การมีอัตราการกลายพันธุ์สูงส่งผลให้เกิดไวรัสกลายพันธุ์เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่เมื่อเวลาผ่านไป 

 

อัตราการกลายพันธุ์ที่สูงขึ้นนี้อาจทำให้การพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพอยากลำบากเนื่องจากพัฒนาและผลิตวัคซีนตามการกลายพันธุ์ของไวรัสไม่ทัน ไวรัสมาร์บวร์กในฐานะที่เป็นอาร์เอ็นเอไวรัสจะมีอัตราการกลายพันธุ์ที่สูงกว่าดีเอ็นเอไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเริมหรือไวรัสฮิวแมนแพปิโลมาที่ติดต่อในมนุษย์ อย่างไรก็ตามไม่สามารถเปรียบเทียบอัตราการกลายพันธุ์ระหว่างไวรัสมาร์บวร์กกับไวรัสโคโรนา 2019 ได้โดยตรง เนื่องจากเป็นไวรัสที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน

 

 

4. 'ไวรัสมาร์บวร์ก' แพร่ติดต่ออย่างไร

 

ไวรัสติดต่อสู่มนุษย์ผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกายของสัตว์เลือดอุ่นที่ติดเชื้อ เช่น ค้างคาว ลิง หมู ฯลฯ หรือระหว่างคนสู่คนจากการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ หรือของเหลวในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสยังสามารถติดต่อมาสู่คนผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่นถุงมือ หรือเครื่องนอน

 

 

5. การรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กดำเนินการอย่างไร

 

ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยารักษาเป็นการเฉพาะ มีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อสูงถึง 88% การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคอง เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำและการเปลี่ยนอิเล็กโทรไลต์ ตลอดจนการจัดการกับภาวะแทรกซ้อนใดๆ ที่เกิดขึ้น

 

 

6. ป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กอย่างไร

 

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องสัมผัสผู้ติดเชื้อต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอย่างครบถ้วน เช่น ถุงมือ หน้ากาก แว่นตา และชุดคลุม อย่างรัดกุม 

 

ไวรัสมาร์บวร์ก

 

 

7. อาวุธชีวภาพ 

 

เนื่องจาก 'ไวรัสมาร์บวร์ก' ก่อให้เกิดการเสียชีวิตสูงในอัตราสูง และแพร่เชื้อจากคนสู่คนง่ายดายทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) จึงจัดให้ไวรัสมาร์บวร์กอยู่ในการควบคุมเพราะสามารถถูกใช้เป็นอาวุธชีวภาพได้ (bioterrorism agent) ถือเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่สำคัญ

 

 

8. มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่

 

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในมนุษย์เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตามมีวัคซีนหลายประเภทที่อยู่ในช่วงการพัฒนาและทดสอบกับเซลล์ในห้องทดลองหรือในสัตว์ เช่น วัคซีนเชื้อตาย วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะ และวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA)

 

แม้ว่าวัคซีนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงแสงสว่างปลายอุโมงค์ แต่ก็ยังจำเป็นต้องผ่านการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้ในมนุษย์

 

 

9. มียาต้านไวรัสมาร์บวร์กหรือไม่

 

ปัจจุบันไม่มียาต้านไวรัสซึ่งได้รับการอนุมัติโดยเฉพาะสำหรับการรักษาการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก อย่างไรก็ตามมียาต้านไวรัสหลายตัวที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสมาร์บวร์กในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง

 

หนึ่งในยาต้านไวรัสที่อาจมาใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์กคือยา 'เรมเดซิเวียร์' ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของอาร์เอ็นเอไวรัส เช่นไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโคโรนา 2019 รวมทั้งไวรัสอีโบลาในการศึกษากับเซลล์ในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง

 

ยาต้านไวรัส ฟาวิพิราเวียร์ (favipiravir) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสได้หลายประเภท(broad spectrum) เช่น ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่และไวรัสโคโรนา 2019 ในบางประเทศ พบว่าฟาวิพิราเวียร์สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสมาร์บวร์กได้ในหลอดทดลองได้

 

นอกจากนี้โมโนโคลนอลแอนติบอดียังแสดงให้เห็นว่าเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับการติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก โมโนโคลนอลแอนติบอดีเป็นสารชีวโมเลกุลที่ผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการ เลียนแบบความสามารถของแอนติบอดีที่ระบบภูมิคุ้มกันสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับไวรัสตามธรรมชาติ โดยจะเข้าจับกับโปรตีนส่วนหนามของไวรัสอย่างเฉพาะเจาะจง โมโนโคลนอลแอนติบอดีหลายตัวได้รับการพัฒนาขึ้นต่อเป้าหมายสำคัญของไวรัสมาร์บวร์ก โดยแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งไวรัสเพิ่มจำนวนในเซลล์ในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลอง 

 

 

10. เกิดการแพร่ระบาดของ 'ไวรัสมาร์บวร์ก' ในงานศพเกิดได้อย่างไร

 

ในอดีตมีการระบาดหลายครั้งของไวรัสมาร์บวร์กซึ่งเชื่อมโยงกับพิธีกรรมงานศพในแอฟริกา คาดว่าไวรัสนี้ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายของผู้เสียชีวิต อาทิ เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ ในระหว่างพิธีกรรมงานศพตามประเพณี ผู้ร่วมไว้อาลัยอาจสัมผัสใกล้ชิดกับร่างของผู้เสียชีวิต ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัส

 

 

11. การถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสมาร์บวร์กทั้งจีโนมจะมีประโยชน์หรือไม่ 

 

การถอดรหัสจีโนมทั้งหมดของไวรัสมาร์บวร์ก สามารถให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ได้แก่ :

  • ช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงและใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันการระบาดได้ทันต่อเหตุการณ์
  • บ่งชี้ยีนและโปรตีนเป้าหมายที่เราควรพัฒนายาเข้ามายับยั้งเพื่อยุติการแพร่กระจายของไวรัสมาร์บวร์ก 
  • ให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับชีววิทยาของไวรัสและการมีปฏิสัมพันธ์กับโฮสต์(มนุษย์) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพัฒนาวิธีการรักษาและการป้องกันแบบใหม่

 

 

12. การตรวจไวรัสมาร์บวร์กในแหล่งน้ำเสียมีประโยชน์อย่างไร

 

การตรวจหา 'ไวรัสมาร์บวร์ก' จากน้ำเสียใกล้ชุมชนสามารถใช้เตือนล่วงหน้าถึงการระบาดหรือการปรากฏตัวของผู้ติดเชื้อภายในชุมชน แม้กระทั่งก่อนที่พวกเขาจะแสดงอาการหรือเจ็บป่วยต้องพบแพทย์และเข้ารักษาตัวใน ร.พ. 

 

ในกรณีของไวรัสมาร์บวร์กมีการพิสูจน์แล้วว่าไวรัสสามารถปะปนออกมาในอุจจาระและปัสสาวะของผู้ติดเชื้อ โดยตรวจพบอนุภาคของไวรัสเหล่านี้ในตัวอย่างน้ำเสีย ตัวอย่างเหล่านี้จะถูกตรวจกรองด้วยวิธีการทางชีวโมเลกุล เช่น RT-PCR หรือ LAMP เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส รวมทั้งการถอดรหัสพันธุกรรมบางส่วนของจีโนมเพื่อบ่งชี้สายพันธุ์

 

 

13. ไวรัสมาร์บวร์กสามารถแพร่ติดต่อทางอากาศ (airborne) ได้หรือไม่ 

 

ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสมาร์บวร์ก สามารถแพร่ผ่านทางอากาศได้ ไวรัสมาร์บวร์ก ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับของเหลวในร่างกายของผู้ติดเชื้อ เช่น เลือด น้ำลาย อาเจียน ปัสสาวะ และอุจจาระ ไวรัสสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสกับพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อน เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์หรือเครื่องนอน

 

 

14. ไวรัสมาร์บวร์กมีค่า R-naught เท่าไร   

 

R₀ (อ่านว่า "R-naught") เป็นคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์ที่ใช้อธิบายจำนวนเฉลี่ยของคนที่จะติดโรคจากผู้ติดเชื้อ 1 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค

 

ค่าที่แน่นอนของ R₀ สำหรับไวรัสมาร์บวร์ก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของไวรัสค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตามคาดว่าค่า R₀ ของไวรัสมาร์บวร์ก น่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 1.5 - 3.5 ซึ่งหมายความว่าผู้ติดเชื้อแต่ละคนมีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นระหว่าง 1.5 ถึง 3.5 คนในกลุ่มประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน

 

 

15. ใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียช่วยตรวจสอบการแพร่ระบาดของไวรัสได้หรือไม่?

 

โซเชียลมีเดียอาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการติดตามและตอบสนองต่อการระบาดของโรคติดเชื้อ รวมถึงไวรัสมาร์บวร์ก บุคคลมักจะใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับสถานะสุขภาพและอาการใดๆ ที่พวกเขากำลังประสบอยู่ หน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อตรวจหาการระบาดที่อาจเกิดขึ้นและเพื่อเป็นแนวทางในการตอบสนอง

 

ตัวอย่างการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเช่น Twitter และ Facebook ในอดีตเพื่อติดตามการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อ เช่น ไวรัสซิกาและไวรัสอีโบลา นักวิจัยได้ใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดียเพื่อติดตามการแพร่กระจายทางภูมิศาสตร์ของไวรัส เพื่อระบุกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง และเพื่อตรวจหาการระบาดที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะแพร่ระบาด

 

 

16. ทำไมไวรัสนี้จึงตั้งชื่อตามเมืองในเยอรมนี

 

'ไวรัสมาร์บวร์ก' ได้รับการตั้งชื่อตามเมืองมาร์บวร์ก ในเยอรมนี เนื่องจากพบการระบาดครั้งแรกในเมืองนี้เมื่อปี 2510 จากบรรดาเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่ดูแลลิงเขียวจากแอฟริกันจำนวน 31 ราย และ 7 รายในจำนวนนี้เสียชีวิต โดยมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 23% เช่นเดียวกับไวรัสอีโบลาได้รับการตั้งชื่อตามแม่น้ำอีโบลาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเป็นที่ที่พบไวรัสเป็นครั้งแรก ในทำนองเดียวกันไวรัสซิกาได้รับการตั้งชื่อตามป่าซิกาในยูกันดา ซึ่งเป็นที่ที่แยกไวรัสได้เป็นครั้งแรก

 

 

logoline