คอลัมนิสต์

อย่าเบี้ยวเด็กไทย มารดาประชารัฐ ต้องได้2,000ต่อเดือน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย...   ทีมข่าวรายงานพิเศษ

 

 

 

          หลายปีที่แล้วรัฐบาล คสช.เคยทดลอง “แจกเงินเด็กแรกเกิด” เดือนละ 400 บาท ให้ครอบครัวยากไร้บางกลุ่ม ปรากฏว่าได้รับเสียงสนับสนุนชื่นชมล้นหลามจนนำไปสู่ป้ายหาเสียง “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ประกาศคำมั่นสัญญาว่าจะอุดหนุนเด็กทั่วไทยตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ เดือนละ 2,000 บาท แต่พอได้เป็นรัฐบาลแล้วทำไมมีข่าวลือว่าจะลดเหลือแค่ 600 บาท !?!

 

 

          ย้อนไปปี 2558 “รัฐบาล คสช.” ทดลองทำโครงการช่วยเหลือเด็กแรกเกิดในครอบครัวยากจนเดือนละ 400 บาท เป็นเวลา 1 ปี จากนั้นขยายเวลาให้เงินเพิ่มเป็น 3 ปี และเพิ่มวงเงินเป็นคนละ 600 บาทต่อเดือน จากสถิติของวันที่ 27 มิถุนายน 2559 มีผู้มาลงทะเบียนร่วมโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจำนวน 108,275 ราย ถือว่าประสบความสำเร็จจนหลายพรรคการเมืองเอาไปเป็นนโยบายหาเสียงซื้อใจประชาชน โดยเฉพาะโครงการ “มารดาประชารัฐ” ของพรรคพลังประชารัฐ

 

 

 

อย่าเบี้ยวเด็กไทย มารดาประชารัฐ ต้องได้2,000ต่อเดือน

 


          ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ดร.อุตตม สาวนายน เดินสายประกาศไปทั่วประเทศว่าจะมอบเงินให้เด็กเดือนละ 2 พันบาท และค่าช่วยเหลืออื่นๆ รวมแล้วคนละไม่ต่ำกว่า 1.8 แสนบาท โดยหลักฐานหาเสียงที่แน่นหนาสุดคือเฟซบุ๊กของ ดร.อุตตม ที่โพสต์ไว้เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ว่า


          "พี่น้องประชาชนคงได้ยินได้ฟังกันบ่อยครั้งที่พรรคการเมืองบอกเราว่าได้ให้ความสำคัญต่อเด็กตั้งแต่เกิดไปจนโต แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐแล้ว เราคิดลึกซึ้งกว่านั้น เพราะความสมบูรณ์ของเด็กไม่ใช่แค่ดูแลเมื่อคลอดออกมาลืมตาดูโลกเท่านั้น แต่ต้องดูแลให้ความสำคัญทั้งแม่และเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จึงจะมีสุขภาพและสมองที่ดี มีการพัฒนาเจริญเติบโตในทุกๆ ด้าน....

 



          “มารดาประชารัฐ” จะดูแลตั้งแต่คุณแม่ฝากครรภ์เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 9 เดือน รวมสูงสุด 27,000 บาท ค่าคลอดจำนวน 10,000 บาท หลังจากนั้นจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กอีกเดือนละ 2,000 บาท ตั้งแต่เกิดจนมีอายุครบ 6 ขวบ เป็นจำนวนเงินรวมสูงสุด 144,000 บาท รวมตั้งแต่ตั้งครรภ์จนเติบโตอายุถึง 6 ขวบ จะเป็นเงิน 181,000 บาทต่อเด็ก 1 คน


          นอกจากเงินช่วยเหลือในการตั้งครรภ์ การคลอด และการเลี้ยงดูเด็กแล้ว นโยบายมารดาประชารัฐของพรรคพลังประชารัฐ ยังคำนึงถึงการดูแลในมิติอื่นๆ อย่างครบวงจร ซึ่งถือเป็นการลงทุนในเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและทำให้เด็กไทยเป็นอนาคตและเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไปครับ"


          ช่วงนั้นมีเสียงท้วงติงจากหลายฝ่ายโดยเฉพาะกลุ่มแพทย์และนักวิชาการบางคนที่ประเมินกันว่า


          นโยบายหาเสียงนี้อาจกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายอันหนักหน่วง เพราะช่วงปีแรกอาจจ่ายไม่มากนักประมาณปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากนั้นต้องจ่ายสะสมเพิ่มทุกปีสำหรับเด็กเล็กและทารกเกิดใหม่ รวมกันอาจถึงปีละกว่า 1.2 แสนล้านบาท


          บรรดานักการเมืองพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งตอนนี้หลายคนกลายเป็น “ท่าน ส.ส.” เรียบร้อยแล้ว ก็ออกมายืนยันว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่อง “งบประมาณ” เพราะพรรคเตรียมการแล้วว่าจะนำเงินจากกองทุนและเงินส่วนอื่นๆ มาสมทบจ่ายให้ เช่น 1.เงินกองทุนประกันสังคม 2.เงินสนับสนุนเด็กแรกเกิดของกระทรวงพัฒนาสังคมฯ 3.เงินจากสิทธิข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ และ 4.เงินที่ได้จากการไปหักลดงบประมาณโครงการอื่นๆ

 

 

 

อย่าเบี้ยวเด็กไทย มารดาประชารัฐ ต้องได้2,000ต่อเดือน

 


          นโยบายนี้เรียกว่า “ได้ใจ” และ “ได้คะแนนเสียง” จากครอบครัวที่กำลังจะคลอดลูกน้อยที่มีอยู่ไม่ต่ำกว่าปีละประมาณ 6  –7 แสนคนทั่วไทย


          แต่พอได้รับเลือกเป็นรัฐบาลจริงคำสัญญาตอนหาเสียงว่าจะให้เดือนละ 2 พันบาทก็เหมือนถูกเพิกเฉย แถมมีข้อมูลวงในหลุดออกมาว่าอาจเหลือแค่ 600 บาท และไม่ได้ให้เด็กทุกคน แต่ให้เฉพาะผู้มีรายได้น้อยก่อน?


          หรือเป็นไปได้ว่า “รัฐถังแตก” ต้องเลือกให้เฉพาะกลุ่มลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย หรือ “โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชนระบุว่า ปีนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนโครงการนี้เพียงแค่ 3,485 ล้านบาทเท่านั้น


          ตัวเลขข้างต้นถือว่าน้อยมากเพราะถ้าจะให้เด็กเกิดใหม่และเด็กเล็กได้รับทั่วถึงกันในปีแรกควรต้องตั้งงบไว้ไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
 

          ที่ผ่านมา “องค์การยูนิเซฟ” ได้ช่วยออกแบบโครงการเงินอุดหนุนเด็กเล็ก โดยนำตัวอย่างจากทั่วโลกมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งพบว่าเฉพาะค่าใช้จ่าย “อาหาร” ของเด็กเล็กตกอยู่ที่เดือนละ 579 ถึง 812 บาท ผลวิจัยชี้ชัดว่าการให้เงินอุดหนุนครอบครัวยากไร้ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ช่วยให้เด็กๆ มีสุขภาพและผลการเรียนดีขึ้น รวมถึงมีโอกาสได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้นในอนาคต ตัวอย่างประเทศที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ เช่น บราซิล จีน แอฟริกาใต้


          “เจ้าหน้าที่เครือข่ายคุ้มครองสิทธิเด็ก” ที่เกาะติดนโยบายนี้อย่างใกล้ชิดวิเคราะห์ให้ “คมชัดลึก” ฟังว่า ปัญหาการให้เงินอุดหนุนเด็กในขณะนี้มี 3 ประการ ได้แก่ 1.ครอบครัวของเด็กจำนวนมากไม่ได้รับเงินอุดหนุนเนื่องจากรายชื่อตกหล่นไปจากฐานข้อมูล เช่น พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ หรืออาศัยอยู่กับญาติ ฯลฯ ทำให้ไม่รู้ว่าจะไปลงทะเบียนรับเงินอย่างไร หรือไม่มีผู้กล้ารับรองว่าเด็กอยู่ในครอบครัวยากจนจริง  2.คือการเก็บข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กยังไม่มีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างกระทรวง เช่น กระทรวงพัฒนาสังคมฯ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง และ 3.การให้เงินอุดหนุนเป็นเรื่องสำคัญแต่ควรมีการให้บริการบางอย่างเสริมด้วย เช่น ให้องค์ความรู้การเลี้ยงดูลูกอย่างเหมาะสม วิธีให้การศึกษาเด็กเล็ก ฯลฯ


          “ไม่แน่ใจว่าเงินเดือนละ 2 พันบาท ที่พรรคการเมืองสัญญาว่าจะให้เด็กนั้นจะให้เมื่อไรและให้อย่างไร เพราะตอนนี้เด็กยากไร้ในหลายครอบครัวไม่มีข้อมูลในทะเบียนอาจเกิดจากการเลือกปฏิบัติโดยไม่ตั้งใจ หรือมีเกณฑ์การคัดเลือกซับซ้อนหลายอย่างทำให้เกิดความสับสนหรือเกิดช่องว่าง หลายประเทศเจอปัญหาแบบนี้เช่นกัน เพราะฉะนั้นวิธีแก้ปัญหาที่ดีสุดคือให้เงินอุดหนุนก้อนนี้เท่าเทียมกันกับเด็กทุกคนในประเทศไทย ไม่ต้องคัดเลือกว่าเด็กคนนี้มีสิทธิ์ได้ เด็กครอบครัวนั้นไม่มีสิทธิ์ได้ ควรถือเป็นหนึ่งในสวัสดิการสังคมที่่มอบให้เด็กๆ ที่จะเติบโตมาเป็นอนาคตของชาติ” ตัวแทนกลุ่มคุ้มครองสิทธิเด็กข้างต้นกล่าวแนะนำ


          ทีมข่าว “คมชัดลึก” พบว่านอกจากเด็กในกลุ่มครอบครัวยากไร้จำนวนมากที่อาจไม่ได้รับเงินอุดหนุนแล้วยังมีอีกกลุ่มคือ “แม่วัยใส” ซึ่งเป็นครอบครัวสำคัญที่ต้องการความช่วยเหลือเต็มรูปแบบอย่างเร่งด่วน เพราะจากสถิติกระทรวงสาธารณสุขล่าสุดพบว่า


          เด็กวัยรุ่นไทยอายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดลูกประมาณวันละ 370 คน หรือปีละ 1.35 แสนคน


          นโยบายของรัฐบาลต้องไม่หลงลืม “ครอบครัวแม่วัยใส” พวกเขาต้องการโอกาสและการสนับสนุนมากกว่าคนอื่นหลายเท่า และควรได้รับมากกว่าเดือนละ 2 พันบาท และความช่วยเหลือด้านอื่นด้วย เพื่อไม่ให้พวกเขาถูกทอดทิ้งให้เลี้ยงดูลูกแต่เพียงลำพัง !


          สรุปว่าอย่าไปโกงเด็กๆ เลย....นโยบาย “มารดาประชารัฐ” ประกาศสัญญาชัดเจนแล้วว่าเด็ก 0-6 ขวบต้องได้เดือนละ 2 พันบาท ไม่ควรบิดพลิ้วกลายเป็นแค่ 600 บาท และควรรีบให้ทุกครอบครัวเท่าเทียมถ้วนหน้า
 

                         โปรดอย่าลืมว่ามีเครือข่ายภาคประชาชนหลายกลุ่มกำลังติดตามนโยบายนี้อย่างใกล้ชิด!?!

 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

-"บิ๊กตู่" เปรยวันนี้ถก"ครม." นัดสุดท้ายของ "รัฐบาลคสช."
-ส.ส.เตรียมตัว สัปดาห์หน้าเปิดวาระกระทู้ถาม "รัฐบาลคสช."
-นักวิชาการชี้ ครม.ใหม่ ห่วงเสถียรภาพมากกกว่าประสิทธิภาพ
-"เพื่อชาติถามประยุทธ์"ได้คนไม่ควรเป็นรมต.จะทำอย่างไร?

 
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ