คอลัมนิสต์

เศรษฐกิจไม่ดี...ไม่ดีจริงหรือ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย...  ธนรัตน์ ยงวานิชจิต [email protected]

 

 

          บรรยากาศแถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อ 25-26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีทั้งความเคร่งเครียดสลับเสียงฮาแบบไทยๆ แทรกอยู่ด้วย หาดูได้ยากในรัฐสภาชาติอื่น ทั้งๆ ที่เป็นการประชุมอภิปรายเรื่องเคร่งขรึมเกี่ยวกับอนาคตของชาติบ้านเมือง แต่โดยที่คนไทยมีจิตใจเบิกบานอยู่เป็นปกติวิสัยมาช้านาน ในขณะยอมรับอนิจจังเป็นสัจธรรมแห่งชีวิต เราจึงมีอุปนิสัยใจคอแบบ “คนขี้เล่น” (Playfulness) และมี “ยิ้มสยาม” (Siamese Smiles) ติดอยู่ที่ริมฝีปาก รวมทั้งมีสมองฉับไวพร้อมแสดงมุกตลกคลายเครียดและเฉลยคำตอบของโจทย์ยาก/ง่ายได้ตามแบบฉบับไทยแท้

 

 

          ตลอดสองวัน ฝ่ายค้านได้อภิปรายถึงเรื่องการครองชีพแร้นแค้นของปวงชน โดยสรุปว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายผิดพลาดของ “รัฐบาลประยุทธ์ 1” ที่ทำให้ เศรษฐกิจไม่ดี...ไม่ดีจริงหรือ? จริงๆ แล้ว “เศรษฐกิจ” ทำร้ายใครไม่เป็น แต่ที่ “เศรษฐกิจไม่ดี” ก็เพราะ “เศรษฐกิจ” ถูกคนทำปู้ยี่ปู้ยำ โดยทำกับ “ปัจจัยทุน” ในวิถีทางทำลายมากกว่าเสริมสร้างเศรษฐกิจ


          สมัย “ยุคหิน” ราวสี่หมื่นถึงหนึ่งแสนปีก่อน เมื่อบรรพชนเรายังเป็น “มนุษย์ถ้ำ” อยู่ “ก้อนหิน” ในครอบครองคือ “ปัจจัยทุน” ที่ใช้ทำประโยชน์ได้ ยิ่งมี “ก้อนหิน” มากก็ยิ่งมี “ปัจจัยทุน” มาก หากชาวมนุษย์ถ้ำใช้ก้อนหินเหล่านี้เป็นอาวุธก้าวร้าวผู้อื่น ก็เป็นการใช้ “ปัจจัยทุนแบบสามานย์” แต่หากใช้ก้อนหินเหล่านี้เป็นวัตถุช่วยเหลือผู้อื่น อาทิ แบ่งปันให้ใช้ล่าสัตว์หาเลี้ยงชีพ ก็เป็นการใช้ “ปัจจัยทุนแบบยั่งยืน”


          “ทุนนิยม” (Capitalism) ที่เห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้ คือ “ปัจจัยทุน” ที่เราใช้แบบก้าวร้าวเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น จน “เศรษฐกิจ” กลายเป็น “เศษกระดาษ” หรือ “เศรษฐกิจไม่ดี” ส่งผลให้เราสามัญชนทั้งหลายต้องไล่ล่าหาเงินเลี้ยงชีพกันหัวหกก้นขวิด หันหน้าทะเลาะวิวาทเข่นฆ่ากันด้วยเรื่องเงินทองแบบไม่เลือกเฟ้นใบหน้า เป็นทุกข์หนักหน่วงกับปัญหาสุขภาพ มีหนี้สินแบบ “ดินพอกหางหมู” ตลอดจนเงินในมือที่หดหายไปกับ “เศรษฐกิจรีดเลือดปู”

 



          นอกจากนี้ “ทุนนิยม” (Capitalism) ยังเป็น “ปัจจัยทุน” ที่กฎหมายบ้านเมืองรองรับให้ผู้เป็นเจ้าของ มีสิทธิ์ถือครองที่ดินและใช้ทรัพยากรต่างๆ เป็นเงินทุนทำกำไรได้โดยเสรี คือ โดยปราศจากเงื่อนไขให้ทำกำไรเฉพาะในวิถีทางที่ธำรงรักษาไว้ซึ่งศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม และระบบนิเวศ ดังนั้น “ทุนนิยม” (Capitalism) จึงมีธาตุแท้ของ “ทุนนิยมสามานย์” อยู่เต็มตัว


          ทว่า จักรวาลเราก็มี “กฎแห่งความสมดุลชอบธรรม” อยู่เต็มตัวมาราว 13.8 พันล้านปีแล้ว


          บนพื้นพิภพนี้ เรามีนักเศรษฐศาสตร์โด่งดังท่านหนึ่ง ชื่อ ดร.อี เอฟ ชูมาร์เชอร์ ท่านเขียนไว้ในหนังสืออมตะชื่อ “จิ๋วคือแจ๋ว” (Small is Beautiful, 2516) ว่า “ทุนนิยม” (Capitalism) เทิดทูนแต่ “รายได้มวลรวมประชาชาติ” (Gross National Product) ซึ่งบ่งบอกแต่ความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจชาติ โดยไม่ยี่หระกับปัจจัยสำคัญยิ่งของมนุษยชาติ อาทิ จริยธรรม ระบบนิเวศ หรือสุขภาพจิต อีกทั้งไม่ยี่หระกับความจริงที่ว่า “ปัจจัยธรรมชาติ” ที่ถูกปัจจัยทุนนี้ตักตวงจากระบบนิเวศอย่างไม่จำกัดนั้น มีอยู่จำกัดตายตัว ท่านย้อนถามว่า “เมื่อปัจจัยธรรมชาติหาไม่ได้อีกแล้ว เรากับบุตรหลานจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร ?”


          ดร.ชูมาร์เชอร์ชี้ชัดไว้ด้วยว่า “ทุนนิยม” (Capitalism) เติบโตได้ด้วยพลังจาก “ความโลภ ความตะกละ และความอิจฉาริษยา” ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และมวลชีวิตได้อย่างฉมัง ส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจก็มิได้เป็นเงื่อนไขจำเป็นต่อการดำรงชีพเลย ท่านถามอีกว่า “แล้วทำไมเราถึงต้องมุ่งใช้วัตถุสิ่งของใหม่ๆ ที่เป็นผลการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในเมื่อเราก็สามารถใช้เพียงด้านหลังของซองจดหมายที่ใช้แล้ว ทำบันทึกคำนวณชั่วคราวตามจำเป็น?” นี่คือข้อคิดริเริ่มให้ใช้ปัจจัยที่มีอยู่แล้ว...ซ้ำอีก (Reuse Repurpose Restore) เพื่อประหยัด “ปัจจัยธรรมชาติ” ที่มีอยู่จำกัด ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็น “หลักการประหยัดปัจจัยธรรมชาติ” มิใช่ขี้เหนียวแล้งน้ำใจ และ “แนวปฏิบัติชีวิตสมถะ” ซึ่งล้วนคู่ขนานกับ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา


          ต่อมา ดร.จอนห์ อี ไอเคิร์ต นักเศรษฐศาสตร์การเกษตร นักการศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กับวิชาจิตวิทยา ได้เขียนไว้ในหนังสือแนวบุกเบิกชื่อ “ทุนนิยมแบบยั่งยืน: เรื่องของสามัญสำนึก” (Sustainable Capitalism: A Matter of Common Sense, 2548) ว่า “ปัญหาการครองชีพ” มักมีรากเหง้ามาจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างไร้ขอบเขต การคำนึงเพียงน้อยนิดในสวัสดิภาพยั่งยืนของมนุษย์กับระบบนิเวศ การมุ่งตักตวงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ตลอดจนการขูดรีดเลือดเนื้อผู้อื่น (เอารัดเอาเปรียบแรงงาน/ดอกเบี้ยหฤโหด) โดยอ้างลอยๆ ว่า เศรษฐกิจจะได้เติบโตไปช่วยการครองชีพ


          ดร.ไอเคิร์ตเผยด้วยว่า “ทุนนิยม” (Capitalism) แต่เดิมเกิดจากวิถีทางการเมืองที่มุ่งหมายเสริมสร้างสังคม แต่ลงเอยแปรเปลี่ยนเป็น “ปัจจัยทุน” ที่ใฝ่หาแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไม่ยี่หระต่อข้อเสียใดๆ หากไม่ยับยั้งการเติบโตแบบนี้ไว้ โลกใบนี้จะถึงจุดอวสานก่อนเวลาอันควร ทางออกได้แก่ “การพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่” ขึ้นมา เพื่อรักษาดุลยภาพทางเศรษฐกิจโลกไว้ รวมทั้ง “การบริหารปัจจัยทุน” ในวิถีทางใหม่ที่เสริมสร้างความยั่งยืน มิใช่ทำลายความยั่งยืน


          “ปัจจัยทุน” ที่เสริมสร้างความยั่งยืนก็คือ “ทุนนิยมยั่งยืน” (Sustainable Capitalism) หรือ “ทุนคุณธรรม” ซึ่งจะเป็น “ห่วงชูชีพ” ของมนุษยชาติต่อไป


          แนวคิด “ทุนนิยมยั่งยืน” นี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะจากนายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ และนายเดวิด บลัด อดีตนักบริหารกิจการการเงินยักษ์ใหญ่โกลด์แมนแซคส์ สหรัฐ ซึ่งชี้ชัดไว้ว่า “ทุนนิยม” (Capitalism) ได้ก้าวไกลขนาดทำให้รัฐบาลถูกบีบรัด (มัดมือชก) ให้ปล่อยเงินกู้จากคลัง (เงินปวงชน) ออกไปกอบกู้เงินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นกิจการ เพื่อมิให้กิจการเอกชนล่มสลายไปกับความผันผวนทางการเงินที่เจ้าของเงินเอกชนควบคุมไว้ไม่อยู่ และเตือนว่า เราจะต้องหันมาเอาใจใส่อย่างเร่งด่วนกับปัญหาต่างๆ จาก “ทุนนิยม” (Capitalism) อาทิ โลกร้อน การขาดแคลนน้ำบริโภค มลภาวะ สภาวะรวยกระจุกจนกระจาย ตลอดจนวิวัฒนาการของโรคภัยร้ายแรงใหม่ๆ ที่ยังไม่มียาป้องกันรักษาคนป่วยได้


          ทั้งสองท่านเชื่อว่า “ความยั่งยืนคือหัวใจของธุรกิจ” จึงเสนอแนะให้ผนวก “แนวคิดยั่งยืน” เข้าในยุทธศาสตร์บริหารจัดการของภาครัฐ/ภาคเอกชน คือ เราจะใช้ “ปัจจัยทุน” แบบชุ่ยๆ ไร้คุณภาพที่ชินชาเป็นประเพณีนิยมมาช้านาน ไม่ได้อีกแล้ว โดยย้ำว่าวิกฤติการณ์ทางการเงินระดับโลกที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก มีรากเหง้ามาจากการมุ่งหวังผลดี/ผลกำไรระยะสั้น การบริหารงานแบบไม่ประหยัดและไร้ผลดี ระบบตอบแทนทดแทนลูกจ้างแบบไม่สมจริง การขาดความโปร่งใส นักบริหารที่เก่งแต่ทำให้องค์กร/กิจการหายนะ ตลอดจนวัฒนธรรมทำงานที่ไม่อำนวยผลดีต่อผู้ใดเลย อีกทั้งยังโจมตีผู้เทิดทูนอย่างบ้าคลั่งใน “รายได้มวลรวมประชาชาติ” อีกด้วย https://www.mckinsey.com/business-functions/sustainability/our-insights/investing-in-sustainability-an-interview-with-al-gore-and-david-blood


          ราชอาณาจักรภูฏานเป็นประเทศแรกที่เลิกใช้ “รายได้มวลรวมประชาชาติ” โดยหันมาใช้ “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness) แทน ในการสอบวัดสภาวะความเป็นอยู่ของประชากร นอกจากนี้ ยังจัดงานฉลอง “วันความสุขสากล” (International Day of Happiness) เป็นประจำ


          นอกจากนี้ ยังมีผู้นำ/อภิชนอีกสี่ท่านที่สนับสนุน “ทุนนิยมยั่งยืน” คือ นายโรเบิรต์ เอฟ เคนเนดี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม สหรัฐ ได้กล่าวเตือนเมื่อ 2511 ว่า “รายได้มวลรวมประชาชาติ” ของ “ทุนนิยม” (Capitalism) มิได้เติมพลังให้แก่วิญญาณจิต ความสมหวัง สุขภาพครอบครัว คุณภาพการศึกษา ความชาญฉลาด จิตอุทิศเยี่ยงวีรชน สติปัญญา การเรียนรู้ สมรรถนะหยั่งรู้ถึงความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ ตลอดจนจิตอาสาเพื่อชาติบ้านเมือง แต่เชื่อมโยงกับปัจจัยทั้งปวงที่มิได้เสริมสร้างคุณค่าให้กับชีวิตมนุษย์เลย https://www.commondreams.org/views/2008/01/15/robert-kennedy-warned-us-about-environment


          นายบารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ มองว่า “ทุนนิยม” (Capitalism) มิได้อำนวยประโยชน์ต่อผู้ใดเลย รังแต่จะก่อให้เกิดความทุกข์ยากกับความไม่เป็นธรรมต่อปวงชน และกล่าวโจมตีนักบริหารระดับสูงของประกันภัยยักษ์ใหญ่เอไอจี สหรัฐ ซึ่งยักยอกเงินกู้จากคลังสหรัฐสำหรับกอบกู้เอไอจีมิให้ล้มละลาย โดยนำไปจัดสรรอย่างไร้จริยธรรมเป็นเงินรางวัลโบนัสงามๆ ให้กับนักบริหารใหญ่ๆ ด้วยกัน ว่า “น่าอับอายขายหน้านัก” https://www.huffpost.com/entry/aig-giving-out-165-millio_b_175067


          นายชอง-โดมินิค เซนาร์ด ประธานสูงสุดกิจการยักษ์ใหญ่ผลิตยางล้อรถยนต์มิชลิน ฝรั่งเศส กล่าวเมื่อ 2 ตุลาคม 2561 ไว้ว่า นักธุรกิจทั้งหลายพึงหันมาอุทิศทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นสำหรับใช้รักษาความยั่งยืนของระบบนิเวศกับจริยธรรม มุ่งหวังผลระยะยาวมากกว่าระยะสั้น หมั่นสู้ศึกเอาชนะอำนาจเงิน (ธนาธิปไตย) ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอยู่ และเอาใจใส่กับผลกระทบของธุรกิจต่อสังคมและระบบนิเวศอยู่เสมอ โดยเรียกชื่อปัจจัยทุนที่บริหารในวิถีทางดังกล่าวว่า “ทุนนิยมยั่งยืน” https://www.cnbc.com/2018/10/02/sustainable-capitalism-can-stem-the-tide-of-populism-michelin-ceo.html


          ล่าสุด นายเรย์ ดาลิโอ อภิมหาเศรษฐีอเมริกัน ผู้มีมูลค่าสินทรัพย์รวมราวหนึ่งหมื่นแปดพันล้านเหรียญ เจ้าของกองทุนทางเลือกที่มีความเสี่ยงมากและมีขนาดใหญ่ถึงหนึ่งแสนหกหมื่นพันล้านเหรียญ ($1=30.8671 บาท) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อ 28 กรกฎาคม 2562 ทางโทรทัศน์ซีบีเอส รายการโด่งดัง “60 นาที” สหรัฐ ว่า เราต้องหันมาทำการปฏิรูป “ทุนนิยม” (Capitalism) ใหม่หมด ผู้มีรายได้ระดับสุดยอดมีหน้าที่ต้องชำระภาษีเงินได้ในอัตราที่สมสัดส่วน และต้องไม่ยอมให้สภาวะรวยกระจุกจนกระจายถูกปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ เพราะรังแต่จะก่อให้เกิดการแตกแยกและเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย https://www.cbsnews.com/news/ray-dalio-explains-his-principles-60-minutes-2019-07-28/


          ดร.ชูมาร์เชอร์อ่านพระไตรปิฎกแล้ว พบว่า มี “พุทธเศรษฐศาสตร์” แทรกซ้อนซ่อนเร้นอยู่ทั่ว โดยมี “พระธรรม” หล่อหลอมเราให้มี “วิญญาณจิตเศรษฐศาสตร์” ที่ตื่นรู้ อาทิ ในโลภโกรธหลง (ไล่ล่าปัจจัยนอกกายที่เกินจำเป็น) ไตรลักษณ์ (อนิจจังนำพาทุกข์) มรรคมีองค์แปด (ทางสายกลางพอควร) สัมมาอาชีพ (มีเศรษฐกิจยั่งยืน) อิทธิบาทสี่ (สี่ขุมพลังขับเคลื่อนงานสู่สำเร็จ) พรหมวิหารสี่ (มุทิตาจิตลบล้างอิจฉาริษยา) แผนบริหารปัจจัยทุนส่วนตัวที่แบ่งเป็นสี่ส่วน คือ “อุ อา กะ สะ” อุ ใช้หนี้เก่าให้พ่อแม่ด้วยกตัญญูกตเวที อา ใช้หนี้ใหม่ให้การเลี้ยงดูศึกษาแก่ลูก กะ ฝังเก็บไว้โดยทำบุญสร้างกุศลในขณะใช้ชีวิตอยู่ในสังสารวัฏ สะ ทิ้งลงเหวให้กับผัสสะที่ไม่มีวันอิ่ม (ใช้ชีวิตชอบธรรมตามวงจรอดีตปัจจุบันอนาคต) ตลอดจนภมรผึ้งที่ดูดน้ำหวานจากดอกไม้ โดยไม่ทำลายดอกไม้ (อนุรักษ์ระบบนิเวศ) ซึ่งล้วนแต่เสริมสร้าง “ความยั่งยืน” ให้แก่ตัวเราและระบบนิเวศ ในทำนอง “ทุนนิยมยั่งยืน” ที่ผู้นำ/อภิชนดังกล่าวได้เรียกร้องไว้


          บัดนี้ เรามีรัฐบาลและรัฐสภาใหม่เอี่ยมพร้อมรับใช้ปวงชนผู้ได้มอบอำนาจอธิปไตยไว้ให้แล้ว ท่านนักการเมืองผู้ทรงเกียรติทั้งหลายจึงน่าจะถือโอกาสนี้แสดง “กตัญญูกตเวที” ต่อบ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งอุดมด้วยปัจจัยทุนทรัพยากรมนุษย์และธรรมชาติอันน่าภาคภูมิใจยิ่ง ด้วยการร่วมมือร่วมใจกันเสริมสร้างปฏิบัติตาม “พุทธเศรษฐศาสตร์” และ “ทุนนิยมยั่งยืน” (Sustainable Capitalism) ทั้งทางมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม โดยเลิกทำตนแบบ “ใกล้เกลือกินด่าง” ออกไปสรรหา “ทุนนิยมสามานย์” (Capitalism) จากต่างชาติมาใช้ให้เป็นพิษภัยต่อปวงชนและระบบนิเวศ อีกทั้งร่วมกันเสริมสร้างชาติบ้านเมืองให้ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ตามนโยบายรัฐบาลด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทั้งนี้ ปวงชนไทยจะได้รอดพ้นจาก “บ่วงทุกข์ทุนนิยมสามานย์” และได้รับ “ห่วงชูชีพทุนนิยมยั่งยืน” นำพาสู่ความเจริญรุ่งเรืองสงบสุขอย่างแท้จริงเสียที
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ