คอลัมน์... กวาดบ้านกวาดเมือง โดย... ลมใต้ปีก
เริ่มต้นเดือนสิงหาคม 2562 ตั้งแต่วันที่ 1 และ 2 ต่อเนื่องกันได้เกิดเหตุทั้งระเบิดและสร้างสถาณการณ์ข่มขู่ รวมทั้งการก่อเหตุไฟไหม้ในหลายจุดของกรุงเทพมหานคร เป็นเรื่องท้าทายอำนาจรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องหาเหตุผลอื่น
เพราะพล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรอบสอง คุมทั้งทหาร-ตำรวจ-ดีเอสไอ จึงถือเป็นการรวมศูนย์อำนาจงานด้านความมั่งคงของประเทศไว้ที่ผู้นำคนเดียว แต่กลับมีเหตุป่วนเมืองเกิดขึ้น “ต้อนรับ” การคุมอำนาจครั้งนี้
ต้องขอประณามคนเลวที่ก่อเหตุและผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุป่วนเมืองครั้งนี้ เพราะนอกจากสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการหวัง “ดิสเครดิต” หรือแย่งชิงอำนาจแล้ว เหตุป่วนครั้งนี้สร้างความวิตก กังวลต่อประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่กลัวว่าไปไหน “ไม่ปลอดภัย”
ความกังวลเหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพเศรษฐกิจที่มีปัญหาอยู่แล้ว ทำให้มีปัญหามากขึ้นไปอีก จึงต้องประณามทั้งผู้ก่อเหตุและผู้อยู่เบื้องหลังว่าเป็น “คนเลว”
ส่วนใครอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุอยู่ในระหว่างการ "ป้ายความผิด” ให้กันและกัน ระหว่างฝ่ายอำนาจเก่าและผู้ชิงอำนาจใหม่ที่ว่ารัฐบาลต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อจะต้องการใช้กฎหมาย "พิเศษ” ที่เพิ่งหมดไปเพราะการสลายตัวตามกฎหมายของคสช.และฝ่ายรัฐบาลก็โทษว่าเป็นกลุ่ม “อำนาจเก่า” ที่ต้องการกลับเข้ามามีอำนาจ จึงกระทำการเพื่อดิสเครดิต
สิ่งที่ต้องกระทำคือการ "จับกุม” ผู้กระทำและผู้อยู่เบื้องหลังมาดำเนินการ โดยไม่ใช่การ “จับแพะ” เพื่อหวังปิดคดีให้จบๆ เหมือนที่นิยมปฏิบัติกันมาในอดีต ต้องดำเนินการให้ประชาชนชาวไทยและต่างชาติมีความมั่นใจว่าแม้จะมีเหตุมาแล้ว “อำนาจรัฐ” สามารถจับกุมดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุและผู้อยู่เบื้องหลังได้อย่างถูกต้องและ “ไม่ล่าช้า” ความเชื่อมั่นต่างๆ จึงจะกลับมา
ย้อนไปดูภายในรัฐบาลซึ่งน่าจะไม่เกี่ยวกับการเกิดเหตุป่วนเมือง ว่าด้วยการเปลี่ยนถ่ายอำนาจบังคับบัญชางานด้านความมั่นคงจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ บิ๊กป้อม มาเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
5 ปีในรัฐบาล “ตู่ 1” ภายใต้เงาคณะรัฐประหาร คสช. การกุมบังเหียนอำนาจด้านความมั่นคงอยู่ในอำนาจ “กึ่งเบ็ดเสร็จ” ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่คุมทั้ง ทหารและตำรวจ ถนนแห่งอำนาจของกองทัพทหารและตำรวจจึงวิ่งไปที่ศูนย์กลางเดียวคือบ้าน พล.อ.ประวิตร
แต่วันนี้ต่างกันแม้จะติดโผเข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล “ลุงตู่ 2” แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มอบงานเก่าให้พี่ใหญ่แห่งค่าย “บูรพาพยัคฆ์” ดูแลอีกต่อไป โดยลุงตู่เลือกรวบงานทั้งทหาร ตำรวจและ ดีเอสไอ มาดูแลเองอย่างเบ็ดเสร็จ แถมไม่ยอมทำตามความประสงค์ของพี่ใหญ่ที่อยากจะให้กระทรวงพลังงานมาอยู่ในสายบังคับบัญชาของพล.อ.ประวิตร ด้วยข้ออ้างเป็นกระทรวง “ความมั่นคง” และเลือกที่จะโยนงานพลังงานให้ขึ้นอยู่กับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ระยะหลังมีความ “ระหองระแหง” ในความคิดทางการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ ระหว่าง “บิ๊กป้อม” กับ “อาจารย์กวง” อยู่สม่ำเสมอ
จะเรียกว่า พล.อ.ประวิตร ตกอยู่ในสภาพ “รองนายกฯ ลอย” ก็ว่าได้ แม้ว่าจะ “ร่ำลือ” กันว่าเป็นผู้มี “บารมี” นอกพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนหลักรัฐบาล ก็ตาม ซึ่งต้องจับตาดูว่าเมื่อสภาพเป็นเช่นดั่งนี้จะมีผลต่อ “ความมั่นคง” ทั้งในพรรคพลังประชารัฐและรัฐบาลหรือไม่
หรือว่านี่คือกระบวนการถ่ายโอนอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะโอนทั้งหมดมาอยู่ในการกำกับของตนเองเพื่อความมั่นคงทั้งทางการเมืองและความมั่นคงของประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง