คอลัมน์... ถอดรหัสลายพราง โดย... พลสุ่มยิง
ถึงจะเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้รัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม บริหารประเทศได้ครบวาระ 4 ปี อย่างที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประกาศกลางวงสัมมนาพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
แม้ทั้งคู่เตรียมสลัดภาพทหาร ลุยงานการเมืองเต็มตัวในฐานะหัวหน้าพรรค และประธานที่ปรึกษาพรรค หวังเข้ามาบริหารจัดการเรื่องภายในแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์ให้เกิดความเป็นธรรมและทั่วถึง เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวเพิ่มเสถียรภาพรัฐบาลให้มั่นคงยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะ “บิ๊กป้อม” ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องประสานกับนักการเมือง
ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 2/1 จะเข้ามาบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมกลยุทธ์และวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิม แต่รูปแบบยังยึดจากประสบการณ์การทำงาน 5 ปี นำมาต่อยอดให้ก้าวแต่ละก้าวของรัฐบาลเดินไปด้วยความมั่นคง แม้อำนาจพิเศษมาตรา 44 จะสลายไปพร้อมๆ กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวล เพราะมี กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) เป็นมือเป็นไม้ในการบริหารจัดการประเทศ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้เล็งเห็นล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงออกคำสั่ง คสช.51/2560 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นกฎหมายให้อำนาจนายกรัฐมนตรี แม้จะมีเนื้อหากว้างๆ ไม่ได้ระบุเจาะจง แต่อำนาจหน้าที่ไปครอบคลุม คำสั่ง คสช.ที่ 3/2558
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเตรียมการมาดีอย่างไร แต่ยังมีจุดเสี่ยงทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม คือเรื่อง ‘เศรษฐกิจ’ เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ที่แก้ไม่ตรงจุดมายาวนานและส่งผลกระทบต่อปากท้องของประชาชน ที่สำคัญตัวเลขทางเศรษฐกิจระดับมหภาคแม้ว่าจะดีแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ถูกถ่ายทอดลงสู่ประชาชน โดยเฉพาะนโยบายที่ให้ความสำคัญกับเรื่องกลุ่มทุนมากกว่าในระดับพื้นที่
ในขณะการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แม้จะถูกบรรจุไว้ในนโยบายรัฐบาล ที่กำลังจะแถลงต่อรัฐสภาแต่การดำเนินการแก้ไขน่าจะทำเท่าที่ทำได้ เช่น การแก้กฎหมายเลือกตั้ง หรือข้อติดขัดที่เป็นปัญหาในห้วงที่ผ่าน โอกาสจะรื้อทั้งฉบับเป็นศูนย์ซึ่งจะไม่ตอบโจทย์ของบางกลุ่ม โดยเฉพาะฝ่ายค้านนำขยายผลต่อ อาจสร้างปัญหาในอนาคตได้
ในอดีต รัฐบาลสามารถบริหารประเทศครบ 4 ปี ยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ทำรัฐประหารตัวเอง โดยอ้างเหตุรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2492 ไม่สะดวกต่อการบริหารประเทศชาติ และไปใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 โดยได้แก้ไขเพิ่มเติม ส่งผลให้ฝ่ายนิติบัญญัติกลับมามีสภาเดียว ประกอบด้วยสมาชิกสภา 2 ประเภท โดยคณะรัฐประหารแต่งตั้งบุคคลในคณะและข้าราชการทหารพลเรือนเป็นสมาชิกสภาประเภทที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับสมาชิกสภาประเภทที่ 1 ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
แต่หากเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ‘ทักษิณ ชินวัตร’ คือบุคคลสร้างประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่สามารถบริหารประเทศครบ 4 ปี ภายหลังชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 และยังทำสถิติเป็นพรรคการเมืองแรกที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จเมื่อปี 2548 แม้สุดท้ายถูกรัฐประหารในปี 2549 ก็ตาม
นายกรัฐมนตรี 3 ท่านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและวิธีการบริหารประเทศที่ความแตกต่างกัน ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือต้องการสร้างชาตินิยม และความมีระเบียบวินัยให้เกิดขึ้นกับคนไทย แต่ ‘จอมพล ป.พิบูลสงคราม’ เป็นผู้นำเด็ดขาดและใช้ความรุนแรงมากกว่า ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ในขณะที่ ‘ทักษิณ’ ใช้วิธีบริหารจัดการแบบเผด็จการ
แต่ปัจจัยทำให้ ‘ทักษิณ’ ประสบความสำเร็จทางการเมือง บริหารประเทศครบวาระ 4 ปี เนื่องจากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลไทยรักไทย ยึดประชาชนเป็นฐาน โดยเฉพาะการสร้างการยอมรับผ่านโครงการประชานิยมที่เคยหาเสียงไว้ เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้านโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการพักชำระหนี้เกษตรกร โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และบ้านเอื้ออาทร แม้หลายโครงการมีปัญหาในการดำเนินการ และความโปร่งใสก็ตาม
ส่วน ‘พล.อ.ประยุทธ์’ น่าจะเป็นส่วนผสมระหว่าง ‘จอมพล ป.พิบูลสงคราม’ กับ ‘ทักษิณ’ ที่ผ่านสนามเลือกตั้ง โดยมีต้นกำเนิดจากรัฐประหาร และความพยายามทำให้ประชาชนยอมรับโดยใช้โครงการประชานิยม ในรูปแบบ ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ เช่น ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านถุงเงินประชารัฐ ร้านก๊าซหุงต้ม ค่าขึ้นรถ บขส.-รถไฟ-รถไฟฟ้า หรือนโยบายมอบเงิน 500 บาทเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่
ต้องยอมรับว่าตลอด 5 ปีผ่านมา ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ทำโครงสร้างพื้นฐานไว้มาก หากผลิดอกออกผล เชื่อว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะคมนาคม เช่น รถไฟฟ้าสายต่างๆ ถนนหลายเส้น รวมถึงโครงสร้างอุตสาหกรรม แต่ที่ขาดไปและเป็นสิ่งที่ ‘ทักษิณ’ มีในห้วง 4 ปีการบริหารประเทศ คือโครงสร้างพื้นฐานเกษตรกรรม จึงทำให้ได้รับความนิยมจากคนต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคเหนือ อีสาน
ต้องรอดูกันต่อไปในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ รัฐบาล ‘พล.อ.ประยุทธ์’ จะสามารถยืนระยะได้นานแค่ไหนในขณะที่ประเทศอยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่าน กับปัญหาที่ถาโถมกันเข้ามาทั้งเรื่องปากท้องประชาชน การควบคุม ส.ส.ทั้งในส่วนของพรรคร่วมและฝั่ง พปชร.ไม่ให้แตกแถว การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยทำให้ ‘รัฐบาลประยุทธ์ 2/1’ อยู่ไม่ครบเทอม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง