คอลัมนิสต์

"ส้ม" ไร้เดียงสาแทรกแซงเพื่อนบ้านหวังช่วยกลุ่มใด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์...  ชูธงทวนกระแส   โดย...  พรานข่าว

 

 

          การประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงเทพฯ จบไปด้วยความราบรื่น แต่ก็มีควันหลงจากพรรคอนาคตใหม่ เมื่อ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แสดงวิสัยทัศน์เรียกร้องให้อาเซียนก้าวข้ามหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของชาติสมาชิก

 

 

          ถัดมา “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รัฐมนตรีต่างประเทศ อธิบายว่า ถ้าใครไม่เคยรับรู้เรื่องราวของอาเซียนแล้ว อยากจะพูดอย่างไรก็ได้ ต้องระวัง เพราะกว่าที่แต่ละประเทศสมาชิกจะรวมกลุ่มกันมาได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องพลิกฝ่ามือ แต่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก


          “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ โต้รัฐมนตรีต่างประเทศว่า อาเซียนยุคใหม่ ไม่เหมือนสมัยสงครามเย็น ควรแทรกแซงประเทศเพื่อนบ้าน


          จริงๆ แล้ว พูดแบบ “ธนาธร” และ “ช่อ พรรณิการ์” ก็พูดได้ แต่ข้อเท็จจริงของการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ง่ายเหมือนการพูดล่าแต้ม


          จะขอยกตัวอย่างให้ชาวพรรคส้มหวานได้เห็นว่า การพัวพันแบบอาเซียนนั้น โดยเฉพาะประเทศรอบบ้านเรา มีเรื่องละเอียดอ่อนเยอะ ย้อนไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ไม่ต้องย้อนไปถึงยุคสงครามเย็นหรอก 


          สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถ้ายังจำกันได้ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้หลบหนีโทษทัณฑ์ในเมืองไทย ได้สัญจรมาลาวและกัมพูชา ระหว่างวันที่ 11-18 เมษายน 2555 ทั้งที่ทราบว่า ทักษิณมีคดีความ แต่ “ผู้นำลาว-กัมพูชา” ยังเปิดโอกาสให้อดีตนายกรัฐมนตรีไทยมาเคลื่อนไหวทางการเมืองได้

 

          ช่วงที่ทักษิณเข้ามา สปป.ลาว ได้คนเสื้อแดงภาคอีสานข้ามโขงไปต้อนรับมากมาย แต่ยังดีที่ว่า ผู้นำลาวไม่เปิดโอกาสให้ทักษิณทำกิจกรรมทางการเมืองมากนัก



 


          ตรงกันข้าม เมื่อทักษิณไปถึงกัมพูชา สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ต้อนรับแบบจัดเต็ม โดยเปิดทางให้กลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางเข้าไปจัดเวทีปราศรัยและเล่นน้ำสงกรานต์ ที่ลานหน้าทางเข้านครวัด-นครธม จ.เสียมราฐ


          22 พฤษภาคม 2557 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกยึดอำนาจ นักการเมืองค่ายเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดงประมาณร้อยคนไปรวมตัวอยู่ในอพาร์ตเมนต์กลางกรุงพนมเปญ ก่อนจะแยกย้ายกันไป บ้างไปยุโรป สหรัฐ แต่ส่วนใหญ่หนีตายไปอยู่เมืองลาว


          สาเหตุที่ต้องออกจากพนมเปญเพราะมีสัญญาณจากผู้มีอำนาจสูงสุดในกัมพูชาแจ้งว่าหากจะหลบภัยอยู่ในเขมรต้องออกไปอยู่ในเขตชนบทและห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเด็ดขาด


          ท่าทีของสมเด็จฮุน เซน นั้น พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยวางกรอบ “ห้ามเคลื่อนไหว” แกนนำคนเสื้อแดงที่ไม่มีหนังสือเดินทาง ไม่มีคอนเนกชั่นกับองค์กรระหว่างประเทศ ก็ไปอาศัยอยู่ใน สปป.ลาว


          ด้านฝั่งลาว ก็มีคนเสื้อแดงหนีภัยข้ามโขงไปหลายร้อยคน และในกลุ่มนี้ มีสมาชิกวงไฟเย็นประมาณ 7 คน โดยระยะแรก พวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านคนลาว


          ปี 2559 กลุ่มไฟเย็น ริเริ่มใช้สื่อโซเชียลปลุกระดมข้ามโขง และจัดรายการวิทยุใต้ดินผ่านยูทูบ เมื่อลุงสนามหลวง และโกตี๋มาร่วมงานด้วยกัน ขุนทองจึงมีฐานะโปรดิวเซอร์วิทยุใต้ดิน


          รัฐบาลประยุทธ์ทราบดีว่า มีการใช้ช่องทางยูทูบ โจมตี คสช. และสถาบันเบื้องสูง โดยกลุ่มคนเสื้อแดงที่หลบภัยอยู่ในลาว จึงส่งสัญญาณไปถึงฝ่ายความมั่นคงของลาว แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ ในทางบวก


          ถ้าใครเคยฟังรายการปฏิวัติประเทศไทย ของสุรชัย แซ่ด่าน จะรู้ได้ทันทีว่า เหตุใดพวกแกนนำเสื้อแดง จึงจัดรายการวิทยุใต้ดิน ปลุกระดมมวลชนข้ามโขงได้ ถึงขนาดสุรชัยพูดออกอากาศว่า ฝั่งซ้ายเป็นแหล่งพักพิงที่ปลอดภัยที่สุด เพราะ “พรรคพี่น้องช่วยเหลือพวกเรา”


          หลังจากนั้นไม่นาน สุรชัย แซ่ด่าน, “ภูชนะ” ชัชชาญ บุปผาวัลย์, “กาสะลอง” ไกรเดช ลือเลิศ ถูกชายนิรนามลักพาตัวออกจากบ้านพัก ย่านเมืองไชทานี นครหลวงเวียงจันทน์


          ตามมาด้วย “ลุงสนามหลวง” ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ และคนสนิทอีกสองคน ปลอมพาสปอร์ตเดินทางออกจากลาว ไปพักพิงอยู่ที่เวียดนาม และมีกระแสข่าวว่า ถูกจับเพราะถือพาสปอร์ตปลอม


          คำถามที่คนเสื้อแดงในเมืองไทย อยากรู้ว่า มีเหตุผลอันใด “ผู้มีอำนาจ” ในลาว จึงมีท่าทีเปลี่ยนไป และนี่คือตัวอย่างการพัวพันแบบอาเซียน ซึ่งแกนนำพรรคอนาคตใหม่ พยายามไม่รับรู้


          ลึกๆ แกนนำพรรคส้มหวาน คงอยากหาทางช่วย “แดงหลบภัย” บางกลุ่มในลาว ที่ดิ้นรนหนีตายอยู่ แต่ยังหาประเทศที่สามรองรับสถานะไม่ได้ 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ