คอลัมนิสต์

มาถึงจุดนี้ได้ไง...บุกทำร้ายไม่เว้นโรงหมอ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์... ล่าความจริง..พิกัดข่าว โดย... อนุรักษ์ เพ็ญสวัสวดิ์

 

 

          ประเด็นทางสังคมที่ไม่ควรปล่อยผ่านหรือถูกกลบด้วยสถานการณ์ทางการเมือง ก็คือปัญหาการใช้ความรุนแรง ทะเลาะวิวาท หรือตามเช็กบิลกันในโรงพยาบาลของกลุ่มอันธพาล ทั้งวัยโจ๋และวัยดึก ซึ่งระยะหลังเกิดขึ้นบ่อยมาก ทั้งโรงพยาบาลตามต่างจังหวัด หรือแม้แต่ในกรุงเทพฯ ก็ไม่เว้น

 

 

          หลังเกิดเรื่องร้าย 2 เหตุการณ์ในคืนเดียวกันที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา จ.ยโสธร และโรงพยาบาลเหล่าเสือโก้ก จ.อุบลราชธานี ทำให้กระทรวงสาธารณสุขออกมาตรการป้องกัน หรือจะเรียกว่า “ล้อมคอก” ก็ไม่ผิด จำนวน 7 ข้อ 7 มาตรการ ซึ่งแต่ละมาตรการต้องใช้เวลาและงบประมาณ จึงไม่ใช่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที


          “ล่าความจริง” ส่งทีมข่าวไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ภายในโรงพยาบาลที่อยู่ในต่างจังหวัด พวกเขาบอกเล่าถึงความรู้สึกหวาดผวาในแต่ละวัน เพราะต้องทำงานบนความเสี่ยง ไม่รู้จะถููกอันธพาลบุกเมื่อไร โดยเฉพาะคนทำงานในหน้าที่ รปภ. เวรเปล และห้องฉุกเฉิน ซึ่งเป็นเสมือนด่านหน้าของสถานพยาบาล


          พฤติกรรมย่ามใจก่อเหตุได้ไม่เว้นในโรงหมอนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจค้นหา


          “ล่าความจริง” ส่งทีมข่าวไปพูดคุยกับมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ส.ส.เพียงหนึ่งเดียวของพรรคที่ได้โอกาสเดินเข้าสภา หลังจากเขาแสดงตัวว่ามีความช่ำชองในแวดวงนักเลง จากวลีที่ว่า “พี่ไม่ใช่คนติ๋มนะ” และ “พี่เปิดเองทั้งหมด”

 

          มงคลกิตติ์ บอกว่า กลุ่มที่ยกพวกตีกันในโรงพยาบาลนั้นเป็นพวกจริยธรรมและคุณธรรมบกพร่อง เพราะในภาวะศึกสงครามยังมีกฎยกเว้นสถานพยาบาล และไม่มีการแย่งศพข้าศึกกัน ฉะนั้นควรเรียกคนกลุ่มนี้เข้าไปฝึกเป็นกำลังพลสำรอง ระยะเวลา 3 เดือน โดยออกเป็นระเบียบบังคับเพิ่มเติม แล้วส่งไปลาดตระเวนตามแนวชายแดนที่มีกับระเบิดเยอะๆ เลย เชื่อว่าการใช้ไม้แข็งแบบนี้จะช่วยสร้างความเป็นระเบียบวินัยให้คนกลุ่มนี้ได้อย่างมาก




          “ปัญหาเด็กตีกันเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับมัธยม อาชีวะ หรือแม้แต่อายุอานามมากแล้วก็ยังมีปัญหาเกิดขึ้น สะท้อนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงศึกษาธิการที่มีหน้าที่ดูแลเยาวชน กระทรวงมหาดไทยที่มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข ไม่บูรณาการการทำงานร่วมกัน ฉะนั้นการแก้ปัญหาต้องใช้มิติใหม่ สร้างการเชื่อมต่อไปยังกระทรวงกลาโหม เพื่อขอให้มีการธำรงวินัยกับผู้ที่ใช้ความรุนแรง รวมถึงการเรียกเข้าไปรับการฝึกกำลังพลสำรองด้วย” หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าว


          มงคลกิตติ์ บอกด้วยว่า การที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์เรื่องการชกต่อยทะเลาะวิวาทในอดีตนั้น เพราะเห็นว่าสังคมควรจะต้องพูดความจริงและยอมรับความจริงกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะได้นำไปสู่การแก้ไขได้เสียที


          ด้านอาจารย์สืบพงษ์ ม่วงชู รองอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และอดีตรองอธิการบดีมหาวิทลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า สิ่งที่ทำให้วัยรุ่นก่อเหตุร้ายแรงโดยไม่เคารพสถานที่ มีหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งการอบรมดูแลของผู้ปกครอง โดยเฉพาะในยุคที่สภาพเศรษฐกิจฝืดเคือง ทำให้แข่งขันกันหาเลี้ยงชีพจนไม่มีเวลาอบรมลูกหลาน หากบ้านไหนมีฐานะดีก็จะจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาคอยดูแล แต่ถ้าฐานะไม่ดีก็ต้องขึ้นกับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเด็ก รวมถึงการสั่งสอนของอาจารย์ในรั้วโรงเรียน


          ในสมัยก่อนอาจารย์จะมีจิตวิญญาณในการเป็นผู้สอนวิชาให้ศิษย์เหมือนเป็นลูกหลานตัวเอง แต่ในยุคปัจจุบันหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไป และสิ่งที่เป็นปัจจัยที่ทำให้แนวคิดของอาจารย์เปลี่ยนก็มาจากสภาพเศรษฐกิจอีกเช่นกัน เนื่องจากอาจารย์ส่วนใหญ่เอาเวลาที่เคยทุ่มเทให้ลูกศิษย์ไป “ขายตรง” ซึ่งเป็นอาชีพเสริมที่เหล่าอาจารย์ทำได้ง่ายที่สุดแล้ว


          “ผมมองว่าอาจารย์ในยุคนี้มีมากกว่าครึ่งหนึ่งที่เลือกอาชีพขายตรงมาเป็นอาชีพเสริม เพื่อแก้ปัญหาปากท้องของตัวเองและครอบครัว ฉะนั้นเมื่อเด็กได้รับการใส่ใจการให้ความรู้น้อยลง ก็ต้องปรึกษาเพื่อนมากขึ้น หากโชคดีเจอเพื่อนที่ดีก็จะเป็นผลดีแก่ตัวเด็ก แต่ถ้าเจอเพื่อนไม่ดีก็อาจจะทำให้เสียคนได้ เราจึงไม่ควรไปโทษที่ตัวเด็กอย่างเดียวเพราะสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อเด็กเอง”


          “ผมขอฝากไปยังรัฐบาลชุดใหม่ให้พัฒนาสวัสดิการครูและเงินเดือนของอาจารย์ด้วย เพราะเมื่ออาจารย์มีเงินรายได้ที่เพียงพอ มีสวัสดิการที่ดี ก็คงไม่ต้องไปขายตรง หากคุณภาพของครูดีขึ้น คุณภาพเด็กก็จะดีขึ้นแน่นอน” อาจารย์สืบพงษ์ กล่าว


          ถือเป็นโจทย์ข้อยากอีกหนึ่งข้อของรัฐบาลชุดใหม่เพราะปัญหานี้ ม.44 ยังแก้ไม่ได้!

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ