คอลัมนิสต์

งานหินต้อนรับรัฐบาลใหม่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

บทบรรณาธิการ นสพ. คมชัดลึก ฉบับวันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2562

 

 

          ส่งแรงสะท้านสะเทือนกันไปทั้งโลก หลังจากที่จีนประกาศมาตรการตอบโต้สหรัฐในสงครามการค้าสองประเทศมหาอำนาจของโลก ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นจากเดิม 10% เป็น 25% ในวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.896 ล้านล้านบาท โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ โดยที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจาก 10% เป็น 25% นับเป็นมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6.320 ล้านล้านบาท ส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างทันควันก็คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง มูลค่าหุ้นหายไป 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 31.675 ล้านล้านบาท อย่างกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่น แอปเปิ้ล และเทสลา ดัชนีหุ้นลดลงไปกว่า 5%

 

 

          กระทรวงการคลังของจีนให้ข้อมูลว่า มีสินค้าจากสหรัฐจำนวน 2,493 รายการจะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่ปรับเป็น 25% อีก 1,078 รายการจะถูกเรียกเก็บในอัตรา 20% ส่วนที่จะเก็บในอัตรา 10% มีอยู่จำนวน 974 รายการ และอีก 595 รายการจะถูกเรียกเก็บ 5% ขณะที่มาตรการของสหรัฐส่งผลกระทบต่อสินค้าจีน 5,745 รายการ มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ที่ส่งออกจากท่าเรือและสนามบินของจีนเข้าไปยังสหรัฐตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันที่่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งสินค้าที่จะได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำพวกอิเล็กทรอนิกส์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ส่งข้อมูลต่างๆ อุปกรณ์แสงสว่างและเครื่องใช้ในครัวเรือน กระทรวงพาณิชย์ของจีนแถลงว่า นับเป็นการสร้างความผิดหวังอย่างยิ่งให้แก่รัฐบาลปักกิ่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีนจะมีมาตรการตอบโต้ตามความเหมาะสม

 


          สำหรับผลกระทบประเทศไทยนั้น ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า เมื่อการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก ทำให้จีดีพีของโลกเหลือเพียง 3% ก็จะส่งผลกระทบถึงไทยแน่นอน จากที่เคยคาดไว้ว่า การส่งออกของไทยจะขยายตัวในระดับ 3.2-4.6% จะลดลงทันที 1% เพราะการส่งออกของไทยไปจีนในปีนี้ขยายตัวเพียง 0.5% ขณะที่เมื่อปีก่อนขยายตัว 2.3% ส่วนการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐจะขยายตัวเพียง 1% เช่นกัน หรือหากในกรณีเลวร้าย การส่งออกของไทยปีนี้อาจขยายตัวเหลือเพียง 0.5% นั่นก็เท่ากับว่า จีดีพีของไทยจะเติบโตต่ำกว่าประมาณการ หรือน้อยกว่า 3% ปัจจุบันสัดส่วนการค้าของไทยกับจีนและสหรัฐมีมูลค่าการค้ารวมกันถึง 25% และเมื่อกำลังซื้อของจีนลดลง คำสั่งซื้อวัตถุดิบเพื่อนำไปใช้ผลิตสินค้าในภาคอุตสาหกกรรมของจีนเพื่อส่งไปขายสหรัฐก็จะลดลงตามไปด้วย

 

 


          สำหรับความพร้อมในการรับมือกับสงครามการค้าโลกครั้งนี้ สิ่งที่ไทยต้องเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมก็คือ การจัดตั้งรัฐบาลและทีมงานเศรษฐกิจที่เป็นมืออาชีพ สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่นักลงทุนได้ และพร้อมผลักดันนโยบายใหม่ที่เท่าทันเกมระดับโลก เพราะนับจากนี้โจทย์ปัญหาเศรษฐกิจจะแก้ยากขึ้นอีกหลายเท่า เมื่อมูลค่าการส่งออกของไทยไป 2 ประเทศมีจำนวนมหาศาลต้องหดตัวลงและส่งผลกระทบต่อการส่งออกถึง 1% ขณะที่การหันหน้าไปพึ่งพิงเครื่องจักรเศรษฐกิจตัวอื่นอย่างเช่น การท่องเที่ยว ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างจีนที่จะมีกำลังซื้อลดลง เป้าหมายที่ว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจากเดิม 10 ล้านคนเป็น 11 ล้านคนในปีนี้ก็น่าวิตก ขณะเดียวกันก็มีคำเตือนจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้เฝ้าระวังการระบายสินค้าจากสองประเทศที่มีปัญหามายังประเทศไทยด้วย นี่คืองานโหดหินที่รอรัฐบาลใหม่เข้ามาแสดงฝีมือ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ