คอลัมนิสต์

"อย่าเยอะ"ธนาธร!      

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์... รักแผ่นดิน โดย... ฅนไท ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ

 

                    

          4 ชั่วโมงเต็ม กับการชี้แจงปม ถือหุ้นสื่อ บริษัทวีลัค มีเดีย จำกัด ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในข้อกล่าวหา การมีคุณสมบัติ “ต้องห้าม”มิให้เป็นผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ได้ไปชี้แจงด้วยตนเองต่อกกต.เมื่อ 30 เมษายน ที่ผ่าน

 

 

          ธนาธร จึงรุงเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล กลับออกมาด้วยอารมณ์หัวเสีย ที่อุตส่าห์ใช้เวลาชี้แจงอย่างยาวเหยียดและขนเอกสารไปหลายกล่อง แต่ดูเหมือนว่า 7 กกต. “ตั้งคำถามไม่ตรงกับคำตอบ”ที่ ธนาธร-ปิยบุตรเตรียมกันไว้ ถึงขนาดออกมาขู่ว่า ถ้ากกต.ไป “แขวน”ไม่รับรองเขาก็จะฟ้อง กกต.ตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 157 ธนาธรถึงกับขู่ว่า “อายุความมีถึง 15 ปี รอเวลา คสช.หมดอำนาจ” พร้อมยาวไปถึง “นักร้อง” อย่างศรีสุวรรณ จรรยา ที่เป็นผู้ยื่นเรื่องนี้ให้กกต.ตรวจสอบ หรือขู่ไปถึงสื่อที่ นำเสนอเรื่องนี้ ว่าอาจจะพิจารณา “ฟ้องกลับ” เพื่อปกป้อง “ศักดิ์ศรี” ของตัวธนาธร


          ต้องบอกเด็กหนุ่มอย่างธนาธร และปิยบุตร ว่าการก้าวมาสู่อำนาจต้องยอมรับการตรวจสอบ ทั้งการตรวจสอบโดยองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ด่านแรกก่อนเข้าสู่อำนาจ คือกกต. ซึ่งเป็นองค์มีอำนาจหน้าที่โดยแท้ในการตรวจสอบโดยมี ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเป็นองค์กรอำนวยความยุติธรรมขั้นสูงที่ “ถ่วงดุล”อำนาจกกต.มิใช่คำขู่ของนักการเมืองผู้ “กระหายอำนาจ”ที่ไม่ชื่นชอบกระบวนการตรวจสอบ   ส่วนศรีสุวรรณ จรรยา และสื่อมวลชนที่หยิบประเด็นเรื่องคุณสมบัติ ผู้สมัครมาตรวจสอบเป็นการทำหน้าที่ “ภาคประชาสังคม” ที่ผู้อาสามาตรวจสอบ ยิ่งต้องรู้และรับผลของตัวเองหากไป “ละเมิดสิทธิ์”ผู้ถูกตรวจสอบ โดยมิต้องให้นักการเมืองผู้นั้นมา “ข่มขู่”        


          ริจะเล่นการเมือง เหมือน เดินตากฝน มันต้องเปียก. เดินกลางแดด มันต้องร้อน ถ้าไม่อยากเปียก ไม่อยากร้อน ก็จงอยู่บ้าน ทำธุรกิจของตัวเอง “โปรดอย่ามาเยอะ!”                  

 



          จงเข้าใจว่า ประเด็น เรื่องการตรวจสอบคุณสมบัติของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ครั้งนี้เขาต้องการพิสูจน์ว่าในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ธนาธร ยังถือหุ้นในบริษัทสื่อ ตามนิตินัย หรือ คำถามในขณะนั้นพยานหลักฐานที่ ธนาธร แสดงต่อสาธารณะและกกต. เป็นพยานหลักฐานที่สร้างขึ้นรองรับการโอนหุ้นกันเองภายใน ที่ ทางการไม่รับรู้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ให้ กกต.และศาลสถิตยุติธรรมได้เชื่อตามที่แสดง ไม่ใช่มาข่มขู่ หรือปฏิเสธกระบวนการตรวจสอบ เพราะกระบวนการเหล่านี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อขัดขวางใครโดยเฉพาะ แต่เป็นกติการ่วมกันของสังคม

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ