คอลัมนิสต์

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย... เอก อัคคี

 

 

 

          ผมขอสารภาพว่าครั้งแรกที่เดินทางไปถึงพื้นที่ของการจัดงาน “พันธุ์บุรีรัมย์” ผมยืนงงจริงๆ เพราะขนาดของพื้นที่การจัดงานกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่คนไทยจากทั่วทุกสารทิศและชาวต่างชาติ เดินผ่านหน้าผมไปราวกับสายน้ำ หลังงานทั้งสามวันผ่านพ้นไปผมสอบถามไปยังทีมงานผู้จัดเลยทราบว่า มีการบันทึกสถิติเอาไว้ว่ามีคนมาร่วมงานกว่า 1.5 แสนคน ทั้งที่บัตรผ่านประตูเข้างานวันละ 450 บาทต่อคน!!

 

 

          ถ้าดีดลูกคิดรางแก้วกันแบบหยาบๆ ไม่ต้องซอยยำละเอียด จะมีรายรับจากค่าผ่านประตูอยู่ราวๆ 67,500,000 บาท เฉลี่ยราวๆ วันละ 22,500,000 บาท

 

 

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

 

 

          ขณะที่ยอดผู้ป่วยมายื่นขอมีกัญชาและสารสกัดจากกัญชาไว้ในครอบครองหลายหมื่นรายแต่มีผู้ผ่านเกณฑ์การขอจดครอบครองกัญชาจำนวน 4,397 ราย

 

          แล้วจะไม่ให้ผมยืนงงได้อย่างไรกันครับ?


          เพราะว่าในฐานะที่ผมเป็นผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวาน หนึ่งในโรคยอดนิยมของคนไทยยุคนี้ ทันทีที่ผมทราบว่าจะมีการจัดงานนี้ผมก็ต้องเดินทางมาดูมาศึกษา เพราะว่ากัญชาใบเขียวๆ ถูกใช้เป็นยารักษาโรคมายาวนานนับพันปีแล้วในโลกสีน้ำเงินใบนี้


          ความจริงแล้วในไทยเราเองก็มีการใช้กัญชา “เข้ายา” (แปลไทยเป็นไทยว่า ใช้เป็นยาแต่ผสมกับยาสมุนไพรตัวอื่นๆ ด้วย) มายาวนาน ถ้าจะยึดตามเอกสารก็ต้องบอกว่ามีอายุไม่น้อยกว่า 300 ปี เพราะเอกสารที่ถูกค้นพบและยอมรับกันในสายวิชาการเรียนแพทย์แผนไทย ตำรายาไทยโบราณบันทึกว่า “กัญชา” หรือบางตำราเรียก “กันชา” ในตำรับยาบางตำรับ ถือว่ากัญชาเป็นตัวยาหลักของตำรับยานั้น

 

 

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

 


          ขณะที่บางตำรับยากัญชาเป็นส่วนประกอบร่วมหรือที่เรียกว่าเข้ายา เช่น ตำราพระโอสถพระนารายณ์ ตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ ฯลฯ สำหรับ ตำราพระโอสถพระนารายณ์ หรือคัมภีร์ธาตุพระนารายณ์ ซึ่งเป็นหลักฐานทางการแพทย์ไทยชิ้นสำคัญที่เหลือสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายและถือเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญที่กลุ่มแพทย์ทางเลือก หมอพื้นบ้านหรือผู้ป่วย-ญาติผู้ป่วย ฯลฯ ใช้เป็นหมัดเด็ดน็อกหน่วยงานต่างๆ ที่พยายามออกมาป้ายสีดำใส่ใบไม้สีเขียวนี้ว่ามันคือยาเสพติด!!

 

 

 

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

 



          เพราะสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายเกี่ยวกับตำรายานี้ไว้ว่า “ที่เรียกว่าตำราพระโอสถพระนารายณ์ เพราะมีตำราพระโอสถซึ่งหมอหลวงได้ประกอบถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หลายขนานปรากฏชื่อหมอและวันคืนที่ได้ตั้งพระโอสถนั้นๆ จดไว้ชัดเจนอยู่ในระหว่างปีกุนจุลศักราช 1021 (พ.ศ.2202) จนปีฉลู จุลศักราช 1023 (พ.ศ. 2204) คือระหว่างปีที่ 3 จนถึงปีที่ 5 ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช”


          และด้วยเหตุผลหลายประการทั้งจากเอกสารโบราณในทางการแพทย์และงานวิจัยใหม่ๆ ทางการแพทย์ในหลายประเทศทั่วโลกที่เปิดกว้างมากขึ้นให้ประชาชนพลเมืองเข้าถึง "กัญชา” ในฐานะยารักษาโรค ทำให้รัฐบาลไทยในยุคนี้จึงออกกฎหมาย คลายล็อกการครอบครองเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงกัญชาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

 

 

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

 

 


          เพราะคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 โดยให้ตราเป็นกฎหมายใหม่ ซึ่งมีผลให้พืชกระท่อมและกัญชาสามารถใช้ในทางการแพทย์หรือการสันทนาการได้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่หลายประเทศในโลกได้ผ่อนปรนให้ประชาชนใช้กัญชาในทางการแพทย์และการสันทนาการ และมีผลงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากกัญชาสามารถรักษาโรคได้และต่อมาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับที่ 7 พ.ศ.2562 ซึ่งมีผลให้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562


000


          นี่คือการปลดโซ่ตรวนที่พันธการกัญชาในฐานะ “เป็นยาเสพติด” เพื่อใช้ในทางการแพทย์เท่านั้น!! แต่ยังพร้อมใส่กุญแจมือผู้ครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าแค่อยากดูดพันลำแล้วออกไปรำเพลินเพื่อสันทนาการ!!


          มหกรรมกัญชาเพื่อการแพทย์ครั้งแรกในประเทศไทยจึงเกิดขึ้น ณ แดนดินถิ่นอีสานใต้ ซึ่งในอดีตกาลโบราณนานมา แดนดินภูเขาไฟแห่งนี้คือเมืองสำคัญของอาณาจักรขอมโบราณอันเป็นที่ตั้งของปราสาทหินพนมรุ้ง ศาสนสถานที่สำคัญที่สุด ในศตวรรษที่ 18 ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 องค์กษัติย์ขอมโบราณผู้เลื่อมใสในพระโพธิสัตว์ไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ มีความนับถือพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุเป็นอย่างมาก


          พระองค์ทรงมีพระการุณยภาพต่ออาณาประชาราษฎร์เป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดให้สร้าง “พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา” เป็นพระปฏิมาประธานในศาสนสถาน ซึ่งเป็นสถานที่อภิบาลผู้เจ็บป่วยที่เรียกว่า “อโรคยาศาลา” เพื่อประทานพรให้ประชาชนหายป่วย จำนวน 102 แห่ง ทั่วทั้งอาณาจักร ซึ่งปัจจุบันมี 30 แห่งอยู่ในไทยรวมไปถึงที่บุรีรัมย์ด้วย

 

 

 

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

 


          ด้วยเหตุนี้จึงมีคติความเชื่อในการสร้างพระปฏิมาพระไภษัชยคุรุเป็นพระกริ่งพกติดตัวกันมายาวนาน อย่างล่าสุดก็มีการจัดสร้างพระไภษัชยคุรุที่เรียกว่า พระกริ่งอู่ทองรุ่นแรก ขึ้นมาด้วย เพื่อเป็นการยืนยันถึงพลานุภาพแห่งพระพุทธคุณที่เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บว่ามีอยู่จริง


000


          การจัดงาน “พันธุ์บุรีรัมย์” ที่เกิดขึ้นโดยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 19-21 เมษายน ที่ผ่านมา ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ต้องยอมรับว่า ธีรวัฒน์ วุฒิคุณ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ในฐานะประธานในการจัดงานครั้งนี้ ตั้งใจทำงานจริงๆ นอกจากช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้บุรีรัมย์ได้อีกทางหนึ่งแล้วท่านบอกว่ารายได้ที่หักค่าใช้จ่ายจากการจัดงานจะถูกนำเข้ากองทุนพันธุ์บุรีรัมย์เพื่อสนับสนุนการวิจัยและต่อยอดสำหรับการนำกัญชามาใช้เพื่อการแพทย์ต่อไป


          แน่นอนว่าไปงานนี้ผมก็ต้องเจอ “ป๋าเน” หรือ “ลุงเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของสถานที่ในการจัดงานและยังเป็นหนึ่งในหัวหอกสำคัญที่ร่วมรณรงค์และต่อสู้ เพื่อให้กัญชาถูกกฎหมาย ลุงเนบอกว่าหากประชาชนเข้าถึงกัญชาเพื่อการแพทย์ได้ด้วยตนเองอย่างถูกกฎหมาย และการเมือง โดยเฉพาะประเด็นกัญชาดีกว่าบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ลุงเน ย้ำก่อนที่ผมจะขอตัวไปเดินดูต้นกัญชาหลากหลายสายพันธุ์ที่มีการนำมาโชว์ในงาน โดยมีตำรวจ ทหารดูแลอย่างใกล้ชิดว่า

 

 

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

 

 


          “ขอความกรุณาอย่าแปรเจตนา หรือตีความหมาย จับประเด็นคำพูดผมไปขยายผลให้คลาดเคลื่อนไปจากนี้ ผมผ่านเรื่องหนักๆ กว่านี้มาเยอะ ไม่หวั่นไหว ไม่เสียกำลังใจง่ายๆ แต่เจ้าหน้าที่ทุกคนที่เสียสละเวลาวันหยุดมาช่วยกันทำงาน ดูแลผู้ป่วยตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้ง 3 วันที่ผ่านมา แทบไม่ได้หยุดพัก บางท่านอาจจะหวั่นไหวและเสียกำลังใจได้ แต่ผมเชื่อว่าคนพันธุ์บุรีรัมย์ มีความเข้มแข็ง และมีหัวใจเพื่อผู้อื่น เพื่อส่วนรวม และจะไม่มีอะไรมาทำให้เรา คนตัวเล็ก แต่มีหัวใจยิ่งใหญ่ เสียความตั้งใจได้ แม้อาจจะเสียกำลังใจไปบ้างจากคนที่ไม่เข้าใจการทำงานของพวกเรา ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นการทำงานเพื่อผู้ป่วย เพื่อส่วนรวม ในหลายวันที่ผ่านมา จะเป็นต้นทางสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยและคนไทย ในอนาคตอันใกล้นี้ผมจะเดินหน้าต่อไปให้ถึงเป้าหมาย ใครจะร่วมด้วยช่วยกัญ ก็เดินไปด้วยกัน”


000


          อย่างที่บอกล่ะครับว่าในฐานะผู้ป่วยเป็นเบาหวานอย่างผม การไปพบแพทย์เพื่อขึ้นทะเบียนในงานนี้และได้รับความรู้เกี่ยวกับการใช้น้ำมันกัญชาในการบำบัดดูแลรักษาที่ถูกต้องก็ถือว่ามีประโยชน์มากและขอบอกว่าการใช้ต้องปรึกษาผู้ที่มีความรู้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้ด้วย อย่าใช้ไปตามความเข้าใจของตัวเองหรือได้ยินมาเพราะทุกยาทุกขนานมีทั้งคุณและโทษ เพราะอย่าลืมว่าการหยอดน้ำมันกัญชาใต้ลิ้นนั้นแม้เพียงหยดเดียวแต่มีฤทธิ์ที่แรงมากพอสมควร ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง

 

 

 

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

 

 


          ข้อสำคัญที่สุดคือห้ามใช้ขณะเดินทางหรือต้องขับรถเด็ดขาด เพราะยาจะออกฤทธิ์กดประสาทซึ่งจะทำให้สูญเสียการควบคุมได้ ขึ้นชื่อว่ายาที่มีฤทธิ์ต่อระบบจิตประสาทไม่ว่าจะเป็นในต่างประเทศและในประเทศไทยเราจึงยังต้องมีมาตรการควบคุมการใช้อยู่ อย่าใช้ซี้ซั้ว!!


          แต่ผมเชื่อมั่นว่าทุกอย่างกำลังจะคลี่คลายไปสู่ทิศทางที่ดี เพราะขณะที่ทุกภาคส่วนในทางการแพทย์กำลังศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ และล่าสุดทราบว่า ม.รังสิต ก็ประสบความสำเร็จไปแล้วในการวิจัยเพื่อทางการแพทย์ แต่ถ้าในระดับที่จะอนุญาตให้ผลิตออกมาเพื่อให้คนไทยที่ป่วยได้ใช้รักษาโรคคงจะต้องรออีกระยะตามประสาแบบไทยๆ


000


          สำหรับการใช้กัญชาในทางการแพทย์อย่างถูกกฎหมายในอเมริกาได้รับอนุญาตจาก 2 ใน 3 ของรัฐทั้งหมด ปัจจุบันในอเมริกามี 10 รัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการได้ในผู้ใหญ่ และมี 30 รัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์ แต่ปี 2562 นี้มีหลายรัฐของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะอนุญาตให้ใช้กัญชาได้มากขึ้น

 

 

 

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

 

 

 

          แม้ผลการสำรวจชาวอเมริกัน 66% เห็นด้วยที่จะให้ทำกัญชาให้ถูกต้องตามกฎหมายทั่วประเทศแต่ในทางปฏิบัติทำได้ยากเพราะกัญชายังคงจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 (Schedule I) ภายใต้กฎหมาย และยังไม่มีการถอนออก


          แต่อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มว่าธุรกิจอุตสาหกรรมกัญชาโลกมีแนวโน้มที่จะเติบโตอีกมากหลังจากที่ในแคนาดามีบริษัทกัญชาที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งรายงานยอดขายที่ดีมาก นับตั้งแต่อนุญาตให้กัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในเดือนตุลาคมปี 2561 และหลายรัฐในสหรัฐให้ความเห็นชอบในการใช้กัญชา ทำให้กัญชากลายเป็นกระแสหลัก

 

 

 

จับตากระแสตื่นทองในแวดวงธุรกิจ-การแพทย์คนไทย

 


          ซึ่งเป็นผลจากการทุ่มเม็ดเงินลงทุนอย่างเต็มที่และจากความร่วมมือของผู้ปลูกกัญชาขายให้บริษัทชั้นนำ เช่น บริษัท คอนสเตลเลชั่น แบรนด์ส อิงค์ ผู้ผลิตเบียร์โคโรนา ปัจจุบันถือหุ้น 35% ในบริษัท คาโนปี โกรท ผู้ผลิตกัญชาในแคนาดาได้ประกาศเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2562 ที่จะเพิ่มการถือหุ้นเพิ่มเป็น 50% นี่คือผู้ปลูกกัญชารายใหญ่สุดของอุตสาหกรรมมีมูลค่าราว 14 พันล้านดอลลาร์ มีผลิตภัณฑ์ในชื่อ Tweed, Spectrum, DNA Genetics, CraftGrow สำหรับบริษัทอื่นที่ลงทุนในธุรกิจกัญชาได้แก่ อัลเทรีย ผู้ผลิตบุหรี่มาร์ลโบโร ซึ่งลงทุน 1.8 พันล้านดอลลาร์ในโครโนส กรุ๊ป ผู้ผลิตกัญชาอีกราย ส่วนทิลเรย์ อิงค์ (Tilray, Inc.) ผู้ผลิตกัญชาทางการแพทย์รายใหญ่กำลังร่วมมือกับเบียร์บัดไวเซอร์ เพื่อผลิตเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชาและนักธุรกิจในอีกหลายประเทศกำลังลุยเรื่องนี้ ฯลฯ


          ขณะที่โลกตอนนี้กำลังตื่นตัวในอุตสาหกรรมกัญชากันเหมือนยุคตื่นทอง แต่เมืองไทยเรา...ในภาคอุตสาหกรรมธุรกิจกัญชาคงอีกนานกว่าจะถึงวันนั้น

 

          เพราะทุกวันนี้...หลายภาคส่วนยังเมาควันหลง-ยืนงงในดงกัญชาอยู่เลย!!

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ