คอลัมนิสต์

หุ้นสื่อพ่นพิษ ธนาธร-32 ว่าที่ส.ส.ลุ้นไม่ได้เข้าสภา! 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์...  กวาดบ้านกวาดเมือง  โดย...  ลมใต้ปีก



  
          ไม่เพียงแต่ธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าที่ส.สบัญชีรายชื่อหมายเลขหนึ่งของพรรค “ส้มหวาน” ต้องลุ้นระทึกว่า แม้จะได้รับเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา จะมีโอกาสเข้าสู่สภาผ้แทนราษฎรอันทรงเกียรติได้หรือไม่ เพราะ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กำลังถูกตรวจสอบจากสื่อและกกต.ว่าด้วยการถือครองหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย บริษัทที่ทำธุรกิจสื่ออันขัดต่อคุณสมบัติการสมัครส.ส.ตามมาตรา 98 (3) แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 และขัดต่อคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 42 (3)

 

 

          หลังจากที่สำนักงานเลขาธิการกกต.ที่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา กุมบังเหียน “มะงุมมะงาหรา” ตรวจสอบอยู่นานสองนานก็เรื่มขมีขมันหลังจากที่ 7 กกต.ใหญ่ “ไขลาน” เพราะเหตุการตรวจสอบเรื่องนี้ “ไม่ยาก” แค่พิสูจน์ว่าวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สมัครส.ส. ยังถือครองหุ้นสื่ออยู่หรือไม่ โดยต้องดูเอกสารทางราชการเป็นหลักไม่ใช่คำปฏิเสธของผู้มีส่วนได้เสียอย่างธนาธร กำหนดการให้สำนักงานเลขาธิการ กกต. เร่งตรวจสอบให้แล้วเสร็จจึงถูกกระตุ้นและต้องนำเสนอ 7 กกต.ใหญ่พิจารณา หากเห็นว่าคุณสมบัติขัดต่อกฎหมายก็ส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสิน หากเห็นว่าไม่ขัดก็ยุติเรื่องและให้ธนาธร เป็นส.ส.อย่างถูกต้อง

 

          เรื่องของธนาธร จ่อเข้าสู่กระบวนการวินิฉัย ก็มีเรื่องคุณสมบัติผู้สมัครส.ส. 32 คนที่ถือครองหุ้นสื่อเข้ามาให้พิจารณาด้วยการยื่นเรื่องของ “ผู้กองปูเค็ม” ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล ว่าทั่ง 32 คนนี้ถือหุ้นบริษัททำสื่อ อันขัดต่อคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย จะด้วยความบังเอิญหนือความตั้งใจต้องไปถามผู้กองปูเค็ม เพราะ รายชื่อ 32 คนที่ถูกยื่นให้กกต.ตรวจสอบนี้เป็นฟากฝั่ง “เครือข่ายทักษิณ” ทั้งสิ้น


          มีจากพรรคเพื่อไทย 10 คน อนาคตใหม่ 7 คน เสรีรวมไทย 6 คน เพื่อชาติ 5 คน ปวงชนชาวไทย 2 คน และประชาชาติ 2 คน นั่นหมายความว่าผู้สมัครส.สเหล่านั้นหากได้รับเลือกตั้งและคุณสมบัติขัดต่อกฎหมายก็จะทำให้คะแนนเสียงที่จะตั้งรัฐบาลฝั่งเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร เปลี่ยนแปลง “ลดลง” ไปโดยปริยาย เพราะหากกดต.และศาลตัดสินว่าคุณสมบัติขัดจริงก็หมดสิทธิ์เข้าสภาไปยกมือหนุนฝั่งเครือข่าย “ทักษิณ”

 

 


          ไม่ว่าจะมองว่านี่เป็นเกมลดทอนเสียงฝั่งตรงข้ามหรือไม่ แต่ต้องมองว่าเป็น “ข้อเท็จจริง” เพราะคุณสมบัติที่เขายื่นให้ตรวจสอบทั้งของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ 32 ผู้สมัคร เป็นคุณสมบัติที่ต้องพิสูจน์ว่าขัดกฎหมายหรือไม่ ความจริงแล้วเจ้าตัวทั้งธนาธรและ 32 ผู้สมัครย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองมีคุณสมบัติขัดไหม อยู่ที่จริยธรรมของตัวคนว่าจะ “ยอมรับ" หรือ “จนมุม” ทางกฎหมาย จึงมีบทลงโทษตามกฎหมายต่อผู้ที่รอให้ “จนมุม” ตามมาตรา 151 ของพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส. ว่าผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิ์สมัครเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิ์สมัคร ส.ส. แล้วมาลงสมัคร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ที่จะมาเป็นส.ส.จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ศึกษาคุณสมบัติในอาชีพที่ตัวเอง “อยากเป็น” ย่อมอ้างไม่ได้ แบบเรียนกฎหมายเบื้องต้นก็สอนทุกคนว่า “การไม่รู้กฎหมายมิใช่ข้ออ้างให้ตัวเองพ้นผิดในการก่ออาชญากรรม”


          ดังนั้นนอกจากทั้ง 32 คน และธนาธร จะต้องลุ้นระทึกว่าจะมีสิทธิ์ก้าวเข้าสู่สภาอันทรงเกียรติหรือไม่แล้ว ยังต้องลุ้นว่าการแจ้งคุณสมบัติอันเป็นเท็จต่อการสมัครส.ส.นั้น จะต้องเข้า “คุก” ด้วยหรือไม่ แต่ก่อนอื่นกกต.ซึ่งเป็นองค์กรเบื้องต้นที่จะอำนวยความยุติธรรมให้กระจ่างในเรื่องนี้ ต้องเร่งพิจารณาและนำเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนนูญ “อย่าล่าช้า” เพราะตามปรัชญาการอำนวยความยุติธรรมมีประโยคอมตะที่ว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือความอยุติธรรม” ที่ตัวเองต้องพึงตระหนักเช่นกัน
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ